ที่ท่านกำลังฟังอยู่นี้คือเพลง"ฉันเป็นชาวฉงชิ่ง" เพลงนี้แสดงถึงท่วงทำนองและอุปนิสัยของฉงชิ่ง เนื้อหาของเพลงนี้บอกว่า ในอดีตมีภูเขาแห่งหนึ่ง บนภูเขามีเมืองแห่งหนึ่ง ในตัวเมืองไม่มีเทพเจ้า มีแต่ชาวฉงชิ่งอาศัยอยู่ ผู้ชายมีผิวคล้ำแต่มีนิสัยเปิดเผย และผู้หญิงมีหน้าตาสวยงาม เมื่อกินหม้อไฟต้องมีพริก ถ้าไม่มีจะกินไม่ลง ....... ท่านผู้ฟังครับ ในรายการวันนี้ ผมขอเล่าถึงอุปนิสัยเผ็ดและชาของชาวฉงชิ่งครับ
นครฉงชิ่งอยู่เขตแดนชั้นในของจีน มีแม่น้ำสำคัญหลายสายผ่านตัวเมืองแห่งนี้ ซ้ำรอบๆบริเวณยังเป็นภูเขาส่วนใจกลางเป็นเขตราบต่ำ จึงทำให้ดินฟ้าอากาศร้อนชื้นมีหมอกบ่อย เพื่อป้องกันอากาศสุดชื้น ทำให้ชาวฉงชิ่งชอบกินอาหารรสชาติเผ็ดและชามาก นายเว่ยต้าหยวน เจ้าของร้านอาหารหม้อไฟแห่งหนึ่งที่นครฉงชิ่งกล่าวว่า
ชาวฉงชิ่ง ไม่ว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กล้วนชอบกินอาหารรสชาติเผ็ด ชาวฉงชิ่งมีอุปนิสัยเข้มแข็ง ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง
ที่นครฉงชิ่ง มีร้านหม้อไฟจำนวนมากเหมือนขนของวัว ไม่ว่าในตัวเมืองหรือในเขตชานเมือง จะเห็นร้านหม้อไฟขนาดใหญ่น้อยเต็มไปทั่วตามถนนต่างๆ ถึงปลายปี 2006 ที่นครฉงชิ่งมีร้านอาหารต่างๆกว่า 8 หมื่นแห่ง ส่วนร้านหม้อไฟมีกว่า 5 หมื่นร้าน เป็นประมาณ 60% ของร้านอาหารทั้งหมด เวลานี้ หม้อไฟกลายเป็นตัวแทนอาหารอย่างหนึ่งของนครฉงชิ่ง และยังได้ชื่อว่า เมืองหม้อไฟของจีน
ท่านผู้ฟังคงสนใจว่า หม้อไฟเผ็ดและชาที่ชาวฉงชิ่งชอบกินจะมีลักษณะอย่างไi คืออย่างนี้ครับ ต้หม้อเป็นไฟแรงมาก ในหม้อใหญ่เป็นน้ำแกงเผ็ด ลอยหน้าด้วยเครื่องเทศฮวาเจียว และพริก อาหารที่กินกับหม้อไฟมีหลายร้อยชนิด ที่สำคัญคือ กระเพาะหมู ปลาไหล ปลาหางยาว ผักสด เห็ด ต่างๆหลายสิบชนิด
เหตุที่ชาวฉงซิ่งชอบกินหม้อไฟเผ็ดชา นอกจากหม้อไฟมีรสชาติสอดรับกับชาวฉงชิ่งแล้ว ยังมีเหตุผลอันเนื่องจากอากาศสุดชื้น เพื่อต้านกับหมอก ชื้นและร้อน วิถีชีวิตของชาวฉงชิ่งอย่างหนึ่งคือไปกินหม้อไฟ ใช้ความร้อนต้านความร้อน ใช้ความร้อนต้านกับความชื้น เพื่อแสวงหาความสุข
1 2
|