"ช่วงนั้น ไม่มีบ้านใครติดตั้งโทรศัพท์ การติดต่อกับทางบ้านมีวิธีเดียวคือ เขียนจดหมาย ปกติแต่ละเดือน สถานทูตจีนจะมีรถส่งจดหมายมาสองครั้ง ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายจากทางบ้านจะรู้สึกมีความสุขมาก จดหมายทุกฉบับผมไม่เคยทิ้ง ผมเก็บไว้แล้วเย็บเป็นเล่ม เมื่อมีเวลาว่าง ก็จะเอาออกมาอ่านอีกรอบ"
ฉิน อวี้เซินบอกว่า เขาเป็นคนไม่ยอมเสียน้ำตาง่ายๆ แต่มีอยู่หลายครั้ง เมื่อได้รับจดหมายจากลูกชาย เขาอดไม่ได้น้ำตาไหล เพราะว่า เขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดีในการเลี้ยงดูลูกอยู่ใกล้ๆ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความสุขมาก เพราะว่า ลูกชายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและมีความก้าวหน้าในทุกด้าน
เวลา 30 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน ประเทศจีนได้เจริญพัฒนาอย่างรวดเร็วและเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ นายฉิน อวี้เซินมีเพื่อนคนไทยในแวดวงต่างๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และชาวบ้านธรรมดา มีทั้งคนไทยแท้ๆ และคนไทยเชื้อสายจีน การเปลี่ยนแปลงของจีนได้ดึงดูดความสนใจของทุกคน ทำให้พวกเขาพากันหาโอกาสมาท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจในประเทศจีน ฉิน อวี้เซินเล่าให้ฟังว่า
"ทุกครั้งที่มีเพื่อนกลับจากจีน มักจะมาคุยให้ผมฟังดสมอว่า ประเทศจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อ ถนนหนทางกว้างใหญ่ ไปไหนมาไหนสะดวกและรวดเร็ว สิ่งก่อสร้างทันสมัย สิ่งแวดล้อมสวยงามและน่าอยู่ มีสินค้าหลากหลายและราคาไม่แพง หากไม่ได้ไปสักไม่กี่เดือน กลับไปอีกครั้งก็เกือบจะจำไม่ได้แล้ว"
นายฉิน อวี้เซินยังจำได้ว่า ครั้งแรกที่ไปต้อนรับเพื่อนคนไทยที่ท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ของกรุงปักกิ่ง เพื่อนต่างรู้สึกประทับใจและทึ่งมาก โดยเฉพาะอาคารสามของท่าอากาศยานที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานเมื่อต้นปีนี้ มีพื้นที่กว้างประมาณ 10 ล้านตารางเมตร เป็นอาคารผู้โดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เครื่องบินโดยสารจาก 30 กว่าบริษัท ทั้งสายการบินจีน สหรัฐอเมริกา ยุโรปเหนือ และญี่ปุ่นจะขึ้นลงจากอาคารผู้โดยสารแห่งนี้ แม้ว่า อาคารนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก แต่การเช็คอินและเช็คเอาท์กลับสะดวกรวดเร็ว
ท่านผู้ฟังคะ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจจากนายฉิน อวี้เซินอีกมากแต่น่าเสียดาย รายการ"มองสังคมจีน"ในครั้งนี้หมดลงแล้ว สัปดาห์หน้าเรามาพูดคุยกับนายฉิน อวี้เซินกันต่อนะคะ ขอบคุณที่ติดตามรับฟังรายการ สวัสดีค่ะ 1 2
|