เพื่อทำให้หยาง เอี้ยนหัวคุ้นเคยกับเมืองอูลูมูฉี และกระตุ้นให้เธอทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ นางน่าเหรินเกาวาได้จัดรถขายหนังสือตามถนนให้ ตอนแรกๆ น่าเหรินเกาวาก็อายเหมือนกัน กลัวพบคนที่รู้จัก ในฤดูหนาวปีนั้น น่าเหรินเกาวาเลิกงานแล้วก็จะอยู่กับหยางเอี้ยนหัวทุกวัน ไม่เคยกลับบ้านก่อน 4 ทุ่มเลย ด้วยความอุตสาหะ สองแม่ลูกได้ขยายกิจการจากรถขายหนังสือกลายเป็นร้านขายหนังสือที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในท้องถิ่น แต่ละเดือนต้องจ่ายภาษี 2000 กว่าหยวนให้รัฐบาล ปัจจุบัน หยางเอี้ยนหัวมีครอบครัวและลูกชายที่น่าเอ็นดูของตัวเองแล้ว เธอกล่าวว่า
"ตอนนี้ดิฉันมีลูกชายของตัวเองแล้ว รู้สึกถึงบุญคุณของคุณแม่น่าเหรินเกาวามาก"
โจวชุ่ยฮัวเป็นเด็กสาวยากจนจากเขตสัมปทานป่าไม้ของภูเขาอาเล่อไท่ของซินเกียงที่เข้ามาเรียนหนังสือที่อูลูมูฉี เที่ยงวันหนึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน นางน่าเหรินเกาวาไปทานข้าวอยู่ในร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีลูกค้าจำนวนมาก แล้วมีสาวน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกเธอด้วยเสียงเบาๆและชัดมากว่า "พี่คะ วันนี้มีลูกค้าเยอะมาก ถ้าพี่รอไม่ไหวเชิญไปทานข้าวที่ร้านอื่นก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวจะทำงานไม่ทันค่ะ" คำเตือนนี้ทำให้น่าเหรินเกาวารู้สึกว่า เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีจิตใจดีมาก วันนั้นจึงกลายเป็นวันที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสองคนนี้
ภายใต้การสนับสนุนและความเอาใจใส่ของน่าเหรินเกาวา โจวชุ่ยฮัวได้มีโอกาสเข้าโรงเรียนอีกครั้ง ด้วยความมุมานะ เธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจีนได้ หลังจบการศึกษา น่าเหรินเกาวายังได้ให้เพื่อนๆช่วยแนะนำงานดีๆให้โจวชุ่ยฮัวด้วย โจวชุ่ยฮัวกล่าวด้วยความตื้นตันว่า
"ดิฉันรู้สึกขอบคุณท่านมาก ท่านเหมือนคุณแม่ของดิฉันเองจริงๆ"
ปัจจุบัน โจวชุ่ยฮัวก็มีครอบครัวของตัวเองแล้ว ลูกสาวของเธอปีนี้มีอายุ 4 ขวบ นอกเหนือจากเวลาทำงาน เธอยังขยันเรียนหนังสือเพิ่มเติมด้วย เธอกล่าวว่า คุณแม่น่าเหรินเกาวาไม่เพียงแต่ได้ให้การสนับสนุนด้านชีวิตแก่เธอ หากยังได้สอนให้เธอใช้ชีวิตอย่างไรในสังคมนี้ ด้วยความช่วยเหลือของคุณแม่น่าเหรินเกาวา โจวชุ่ยฮัวได้รับความรู้ใหม่ๆตลอดมา
1 2 3
|