เพราะวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากประตูทางเข้าไปไม่ไกลนัก รับรองว่าเดินไม่ทันเมื่อย เพราะมัวเพลินกับแมกไม้ สวนสวย และสถาปัตยกรรมโบราณของวัด ชั่วอึดใจก็ถึงแล้ว
พระพุทธรูปสำคัญ 3 องค์ในวัดหลิงกวง จะค่อยๆ เรียงลำดับขึ้นไปตามความสูงของภูเขา องค์แรกประดิษฐานอยู่ในวิหารประธานของวัด เป็นพระศากยมุนีองค์ใหญ่หล่อด้วยทองแดง ขนาดหน้าตักเท่าใดไม่มีข้อมูลระบุ บอกแต่ว่าเป็นพระพุทธรูปที่สมเด็จพระสังฆราชของไทยมอบให้กับวัดหลิงกวงตั้งแต่ พ.ศ. 2532
หินแกะสลักเรื่องราวชาดก
การไหว้พระของจีนกับไทยก็ไม่แตกต่างกันมาก ก็ไหว้ 3 ที หรือ เบญจางคประดิษฐ์ เพียงแต่ที่นี่เข้าโบสถ์ วิหาร ไม่ต้องถอดรองเท้า แต่ไม่ได้แปลว่า คนที่นี่ไม่ให้ความเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นะครับ แต่ลองนึกเอาว่าฤดูหนาวอันสาหัสจะเดินเท้าเปล่าบนพื้นกินอ่อนอันเย็นเฉียบได้อย่างไร
ถัดขึ้นไปเป็นพระหยกจากพม่าหน้าตาอวบอิ่ม ที่ชาวจีนเชื่อว่าบูชาพระองค์นี้แล้วจะมีสุขภาพดี ไร้โรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งยิ่งเพ่งไปที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปองค์นี้ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสงบร่วมเย็นเป็นสุข จึงไม่แปลกที่ผู้ที่มาเมียงมองแล้วจะรู้สึกว่าโรคภัยต่างๆ ถูกขจัดปัดเป่าออกไป นั่นก็เพราะความสุขจากองค์พระที่แผ่ซ่านออกมานั่นเอง
บันไดทอดสู่วิหารประธาน เจดีย์ 8 เหลี่ยม บรรจุพระเขี้ยวแก้ว
ท่านผู้ฟังเชื่อไหมครับว่า มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่า คนเราจะสุขภาพดีและอายุยืนต้องนับถือศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไรก็ตาม ขอให้มีสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจนั่นเอง
และอีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปหินแกะสลักปางสมาธิจากศรีลังที่มอบให้จีนเนื่องในโอกาสการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันครบรอบ 50 ปี เมื่อปี 2007 นี่เอง จากนั้นทางการจึงอัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แม้ไม่มีวิหารครอบ แต่ก็ได้ยังจัดสร้างแผงผนังด้านหลังเป็นหินแกะสลักสามมิติเป็นภาพพุทธชาดกที่แสนอลังการ นับเป็นงานเชิงพุทธศิลป์ที่ล้ำค่ามาก
จุดสำคัญที่สุดของวัดหลิงกวงก็คือ พระเจดีย์แปดเหลี่ยมสูง 13 ชั้น ที่มีชื่อว่า "พระเจดีย์พระเขี้ยวแก้ว" ซึ่งสร้างขึ้นใหม่บนฐานเดิมในปี 1956 แทนเจดีย์องค์เก่าที่มีชื่อว่า "เจดีย์จาวเซียน" ซึ่งถูกประเทศพันธมิตร 8 ชาติที่บุกเข้ายึดกรุงปักกิ่งในปี 1900 บุกทำลายเพื่อค้นหาทรัพย์สมบัติ เช่นเดียวกับที่ทำกับพระราชอุทยานหยวนหมิงหยวนและที่สำคัญต่างๆ มากมายของจีน
1 2 3 4 5 6 7
|