ดังนั้น สำนวนจีนที่ว่า ความยากลำบากทำให้ประเทศชาติเกิดความเข้มแข็งนั้น จะสะท้อนให้เห็นว่า ขณะที่เผชิญกับวิกฤติการณ์ ผู้คนจะรวมพลังสามัคคีกัน พร้อมเพรียงกันเพื่อต่อสู่กับความยากลำบากด้วยจิตใจอันเข้มแข็ง
การปฏิรูปและเปิดประเทศของจีนที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 1978 และการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงต่อจากนั้น 31 ปี ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสามัคคี ความเข้มแข็งและนวัตกรรมของชาวจีนอย่างชัดเจน
เมื่อปี 1976 การปฏิวัติทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ของจีนเพิ่งสิ่นสุดลง สังคมจีนยังอยู่ในภาวะคาราคาซังอยู่ นายฉิน เสี่ยวอิง นักวิชาการจีนกล่าวว่า เวลานั้น เรื่องที่ชาวจีนปรารถนามากที่สุดก็คือ แข่งกับเวลาในการฟื้นตัวเพราะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่มีประโยชน์มากมายในช่วงปฏิวัติทางวัฒนธรรม
"ช่วงนั้น ผมทำงานในสถาบันวิทยาศาสตร์สังคมแห่งชาติจีน เพื่อนร่วมงานของผมไม่ว่าเป็นผู้สูงอายุหรือเยาวชน ต่างก็เลิกงานดึกมากเพื่อศึกาาวิจัยวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ทุกคนคิดจะแข่งกับเวลา เวลานั้น ผู้นำรัฐบาลทำงานทั้งวันทั้งคืนก็เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะนายเติ้ง เสี่ยวผิง อายุกว่า 70 ปีแล้ว ยังต้องทำงานจนดึกมากเพื่อวางแผนการปฏิรูปและเปิดประเทศใหม่ ความปรารถนาสูงสุงของชาวจีนในช่วงนั้นก็คือ การสร้างประเทศจีนให้มีความทันสมัยโดยเร็ว"
ด้วยเจตนารมณ์นี้ ประชาชนจีนได้บรรลุความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมอันยิ่งใหญ่โดยใช้เวลา 31 ปี
จีนยังมีสำนวนว่า "ผู้คนรวมใจ ย้ายภูเขาได้" ซึ่งหมายความว่า ขอแต่ให้ทุกคนตั้งเป้าหมายเดียวกันและใช้ความพยายามร่วมกัน ก็สามารถเกิดพลังอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าพบอุปสรรค์ใด ถึงจะมีภูเขาขวางทางก็เคลื่อนย้ายได้ เจตนารมณ์เช่นนี้ทำให้จีนมีกำลังเข้มแข็งตลอดขณะที่พบวิกฤติการ
ไม่มีพลังจิตก็ไม่มีความหวัง ประเทศที่ขาดแคลนความสามัคคีย่อมจะเป็นประเทศที่ไม่มีกำลังแข่งขัน นายฉิน เสี่ยวอิงเห็นว่า เจตนารมณ์แห่งความสามัคคีและความพร้อมเพรียงกันทำให้ประชาชนจีนมีกำลังใจมากมายขณะที่เผชิญกับวิกฤติ นายฉิน เสี่ยวอิงกล่าวว่า
"ความสามัคคีและพร้อมเพรียงกันเป็นหลักประกันทำให้จีนพัฒนาจากประเทศที่ถูกกัดขี่มาเป็นประเทศที่เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง เจตนารมณ์เช่นนี้ก็ทำให้จีนเปลี่ยนจากประเทศยากจนเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ เจตนารมณ์ดังกล่าวย่อมจะแสดงบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตอันสดใสของจีนต่อไป" 1 2
|