สวัสดีคะท่านผู้ฟัง ตั้งแต่ทางรถไฟสายชิงไห่ทิเบตสร้างแล้วเสร็จและเปิดเดินรถได้เมื่อวันที่ 1 เดือนกรกฎาคมปี 2006 เป็นต้นมา นั่งรถไฟไปทิเบตก็กลายเป็นความใฝ่ฝันประการหนึ่งของผู้คนจำนวนมากตลอดมา เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันมีโอกาสนั่งรถไฟสายชิงไห่ทิเบตไปยังลาซาเมืองเอกของเขตปกครองตนเองทิเบต ทำให้ความใฝ่ฝันกลายเป็นจริงขึ้นมา รายการวันนี้ ดิฉันจะเล่าเรื่องราวในการโดยสารรถไฟไปทิเบตมาสู่กันฟังค่ะ
ที่ท่านได้ฟังอยู่นี้ เป็นเพลง "นั่งรถไฟไปลาซา" เนื่องจากทิเบตเป็นดินแดนอันลี้ลับและได้รับการเรียกขานว่าเป็นหลังคาโลกด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบสูงโดยเฉลี่ยเกิน 4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีอาณาเขตติดต่อกับเทือกเขาหิมาลัย ทั้งยังมีอากาศที่หนาวเย็นมาก และมีความกดอากาศและออกซิเจนที่ต่ำ ไม่เพียงแต่เส้นทางคมนาคมที่ต้องเดินทางหลายทอด นักเดินทางยังต้องปรับสภาพร่างกายให้พร้อมด้วย การเดินทางไปทิเบตจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆและสะดวกสบายเหมือนแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ ดิฉันก็ตื่นกลัว เพราะว่าสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงกลัวไปแล้วจะไม่สบาย หลายคนบอกว่า หากเป็นหวัดในธิเบต จะรักษายาก และเสี่ยงมากที่จะเป็นโรคปอดบวม อันตรายต่อชีวิต แต่ดิฉันมีเพื่อนที่อายุกว่า 60 หลายคนเคยนั่งรถไฟไปธิเบตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว พวกเขาบอกว่า น่าเที่เหลือเกินและไม่ว่าใคร ก็ต้องมีอาการนิดหน่อย เป็นเรื่องธรรมดา แสดงว่า ร่างกายกำลังปรับตัวอยู่ เพียงแต่ว่าระวังอย่าเป็นหวัดที่นั่นก็เพียงพอ
รถไฟเข้าทิเบต มีอยู่ประมาณ 4-5 ขบวน จากเมืองสำคัญในแต่ละมณฑล เท่าที่รู้มีจากกรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางเจา เฉิงตู ฉงชิ่งและหลานโจว ซึ่งแต่ละขบวน ก็ใช้เวลา 40 กว่าชั่วโมง
เดือนกรกฎาคมกับสิงหาคมทุกปี ตั๋วรถไฟไปทิเบตหาซื้อยากที่สุด
เพราะว่าสองเดือนนี้อากาศร้อนที่สุด โรงเรียนปิดเทอม นักเรียน นักศึกษากับผู้ปกครองจะพากันออกท่องเที่ยว ที่สำคัญคือ ทิเบตไม่ค่อยมีอากาศร้อนจัด สองเดือนนี้จึงเป็นช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดและสบายที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว
1 2
|