ช่วงนี้สถานการณ์ในภาคตะวันออกของยูเครนทวีความรุนแรงขึ้น โดย “การแทรกแซงของสหรัฐ” ที่พยายามจะส่งทหารเรือไปประจำการที่บริเวณทะเลดำ ส่วนประธานาธิบดี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายคนของสหรัฐได้ติดต่อกับฝ่ายยูเครนอย่างลับๆ ทำให้ยูเครนเผชิญกับความเสี่ยงของการปะทะทางทหารครั้งใหญ่ ซึ่งนี่เป็นเพียงภาพบนยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นที่สหรัฐกำลังใช้ประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างในการทำลายสันติภาพของโลก
สถิติอย่างไม่เป็นทางการจากรายงานฉบับหนึ่งของสถาบันจีนศึกษาสิทธิมนุษยชน (China Society for Human Rights Studies) ระบุว่าตั้งแต่การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี 2001 การปะทะทางทหาร 248 ครั้ง ที่เกิดขึ้นใน 153 พื้นที่ของโลก เกิดจากสหรัฐ 201 ครั้ง คิดเป็น 81%
ซึ่งสงครามเหล่านี้ไม่เพียงแต่คร่าชีวิตทหารจำนวนมาก แต่ยังทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ตลอดจนสูญเสียทรัพย์สินมหาศาล สร้างภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง
สหรัฐใช้สิ่งที่เรียกว่า “สิทธิมนุษยชนอยู่เหนือกว่าอธิปไตย” “ก้าวก่ายสิทธิมนุษยชน” เพื่อให้การรุกรานเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย บิดบังแนวคิดที่แสวงหาอำนาจและผลลัพธ์ที่มีแต่ความเสียหาย
หลายปีมานี้ เพื่อรักษาสถานะความเป็นมหาอำนาจ สหรัฐโจมตีทุกประเทศที่ไม่ยอมรับการจัดสรรระบบจากสหรัฐ ด้วยวิธีการใช้กำลังอาวุธ หรือ ปลุกปั่น “การปฏิวัติสี” ทำให้ประเทศอื่นๆ ต้องเปลี่ยนรัฐบาล ส่วนประเทศที่ถูกบังคับการถ่ายโอน “ประชาธิปไตยแบบอเมริกัน” แทบทุกประเทศล้วนเกิดความเสื่อมโทรมทางการเมือง ประชาชนเดือดร้อน และไม่สงบสุข
สิ่งที่น่ากังวลคือ สหรัฐเองก็ตกเป็นเหยื่อของ “การส่งออกประชาธิปไตย” ด้านหนึ่ง ภัยสงครามทำให้ผู้ลี้ภัยและกลุ่มก่อการร้ายบางส่วนลุกลามไปยังประเทศยุโรปและสหรัฐ เพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับประเทศดังกล่าว อีกด้าน การก่อสงครามครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ความน่าเชื่อถือและอิทธิพลของสหรัฐถูกใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะสม และประชาคมโลกต่างไม่เห็นด้วย
โลกรู้มานานแล้วว่า การใช้กำลังอาวุธของสหรัฐนั้น มาจากการต้องการเป็นมหาอำนาจยึดครองโลก ตลอดจนถืออัตตาคำนึงถึงแต่ตนเองจึงจะเคารพได้เท่านั้น ส่วนสิ่งที่สหรัฐส่งออกนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย หากเป็นการจลาจลกับสงคราม
(BO/LING/CAI)