เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติสมัยที่ 48 ได้สิ้นสุดการประชุมลง ตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เปิดอภิปรายหารือกัน มีผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ได้วิจารณ์นโยบายสิทธิมนุษยชนและความบกพร่องด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งในวันที่ปิดประชุม ที่ประชุมได้ลงมติผ่านญัตติของจีนเรื่อง “ปัญหาตกค้างจากลัทธิเมืองขึ้นส่งผลกระทบทางลบต่อสิทธิมนุษยชน”
ระหว่างการประชุมดังกล่าว มีจำนวนเกือบร้อยประเทศได้แสดงการสนับสนุนต่อจุดยืนของจีนผ่านคำปราศรัยร่วม คำปราศรัยเดี่ยว หรือส่งสารแสดงการสนับสนุนร่วมกัน เป็นต้น โดยเน้นว่า เรื่องเขตซินเจียง เขตฮ่องกง และเขตทิเบตเป็นกิจการภายในของจีน ประเทศอื่นใดเข้าแทรกแซงไม่ได้ เสียงเที่ยงธรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประชาคมโลกคัดค้านประเทศตะวันตกใช้ข้ออ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนแทรกแซงกิจการภายในของจีน
ผู้แทนฟิลิปปินส์ระบุในที่ประชุมว่า ฟิลิปปินส์ได้เคยเป็นเมืองขึ้นของสเปนและสหรัฐฯตามลำดับ จึงตระหนักถึงความสำคัญต่อการขจัดปัญหาที่ตกค้างจากลัทธิเมืองขึ้นในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติลงมติผ่านญัตติของจีนดังกล่าว ได้สร้างโอกาสให้แก่ประชาชนซึ่งเคยถูกลัทธิล่าเมืองขึ้นกดขี่ กล่าวอภิปรายถึงปัญหาที่ตกค้างจากการเป็นเมืองขึ้น จึงมีความหมายสำคัญยิ่ง
เป็นที่ทราบกันดีว่า การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไม่มีเกณฑ์ดีที่สุด มีแต่เกณฑ์ที่ดีขึ้น จีนพัฒนาสิทธิมนุษยชนตามสภาพความเป็นจริงของประเทศตน ซึ่งไม่เพียงแต่ได้ประกันสิทธิมนุษยชนของประชาชนจีนเท่านั้น หากยังได้ผลักดันการพัฒนาภารกิจสิทธิมนุษยชนของโลกอีกด้วย(Yim/Zhou)