วันที่ 18 ก.ย. 65 สื่อมวลชนสหรัฐรายงานว่า เจ้าหน้าที่ศุลกากรและการปกป้องชายแดนของสหรัฐ(U.S.Customs and Border Protection,CBP)เปิดเผยว่าตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 64 จนถึงปัจจุบันมีผู้อพยพเสียชีวิตระหว่างข้ามแดนสหรัฐ-ม็กซิโก ซึ่งสร้างสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์ ก่อนหน้านี้ องค์การผู้อพยพระหว่างประเทศกำหนดชายแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโกให้เป็นเส้นทางการอพยพทางบกที่มีความเสี่ยงถึงแก่ชีวิตมากที่สุดในโลก
รัฐบาลสหรัฐใช้มาตรการจำนวนไม่น้อยในการแก้ไขปัญหาผู้อพยพชาวลาตินอเมริกา เช่นก่อสร้างกำแพงชายแดนโดยเสียค่าใช้จ่ายสูง จัดจำนวนตำรวจเกินหมื่นคนดูแลเขตชายแดน แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตผู้อพยพรวมถึงการเสียชีวิตที่กำลังเกิดมากยิ่งขึ้น
ความจริงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนั้นมีความผูกพันโดยตรงกับนโยบายผู้อพยพของสหรัฐ ในยุคสมัยรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เคยใช้มาตรการผู้อพยพที่เคร่งครัด ก็คือก่อสร้างกำแพงกั้นเขตชายแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก เมื่อนายโจ ไบเดนเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายผู้อพยพรอบด้าน แต่จนถึงปัจจุบันนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมนอกจากนั้นในสภาพที่การเมืองสหรัฐแบ่งออกเป็นสองขั้ว ปัญหาผู้อพยพได้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของการต่อสู้ระหว่างสองพรรคการเมือง โดยเฉพาะเมื่อใกล้จะถึงช่วงการเลือกตั้งระยะกลางของสหรัฐ นักการเมืองชาวอเมริกันในขณะที่ให้คำมั่นสัญญาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาผู้อพยพหลายต่อหลายครั้ง อีกด้านหนึ่งก็ใช้ปัญหาผู้อพยพเป็นอาวุธโจมตีฝ่ายตรงข้าม ตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมา ผู้ว่าการรัฐของบางรัฐฝ่ายพรรคริพับลิกันบางคนส่งผู้อพยพไปยังมลรัฐที่มีผู้ว่าการเป็นฝ่ายพรรคแดโมแครต เพื่อแสดงท่าทีคัดค้านต่อนโยบายผู้อพยพของรัฐบาลการต่อสู้กันระหว่างสองพรรคการเมือง ผู้อพยพเหล่านี้ถูกโยนไปมาเสมือนลูกบอล พวกเขาเองก็ไม่ทราบปลายทางที่จะถูกนำตัวไป เรื่องอาหารการกินและที่พักก็ไม่ได้รับการดูแล สิทธิมนุษยชนของพวกเขาถูกนักการเมืองชาวอเมริกันทิ้งเหมือนทิ้งเศษกระดาษ
หลายปีมานี้สื่อมวลชนเคยเปิดเผยการกระทำเลวร้ายที่รัฐบาลสหรัฐมีต่อผู้อพยพจำนวนมาก สำหรับผู้อพยพชาวลาตินอเมริกานั้นความฝันที่จะใช้ชีวิตในสหรัฐอาจต้องกลายเป็น “ความฝันร้าย” ในที่สุด
Cui/Lr/Bo