สถานีวิทยุซีอาร์ไอรายงานว่า ขณะนี้ การประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 16 และการประชุมสมัชชาภาคีพิธีสารเกียวโตครั้งที่ 6 กำลังดำเนินที่เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก เจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้แทนเอ็นจีโอจากประมาณ 200 ประเทศและเขตแคว้นได้ปรึกษาหารือในปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นักวิเคราะห์เห็นว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การประชุมแคนคูนสามารถประสบความสำเร็จได้คือ ทุกฝ่ายต้องยึดมั่นในหลักการมีภาระหน้าที่ร่วมกัน แต่มีความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน โดยทุกฝ่ายต้องร่วมแรงร่วมใจกัน แสดงบทบาทของตนอย่างเต็มที่ เสริมความร่วมมือให้มากขึ้น ร่วมกันขับเคลื่อนกระบวนการการเจรจาในปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้คืบหน้าไปเรื่อยๆ
เนื่องจากขณะนี้ จีนเป็นประเทศที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก ซึ่งมากกว่าสหรัฐอเมริกา บางประเทศจึงเรียกร้องให้จีนแบกรับภาระหน้าที่ที่เกินความสามารถของจีน ต่อการนี้ ศาสตราจารย์โจวจี้ จากสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยประชาชนจีน ซึ่งเคยเข้าร่วมการประชุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลายครั้งแสดงความเห็นว่า การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ควรพิจารณาจากยอดปริมาณการปล่อย โดยมองข้ามปริมาณถัวเฉลี่ย ไม่ควรพิจารณาเฉพาะสภาพปัจจุบัน แต่มองข้ามสภาพการณ์ในอดีต ทุกฝ่ายต้องยึดมั่นในหลักการมีภาระหน้าที่ร่วมกัน แต่มีความรับผิดชอบที่แตกต่างกันจึงจะถูก เขากล่าวว่า
"ถ้าเพียงนำยอดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศใดประเทศหนึ่งมาเปรียบเทียบกันก็ถือว่าขาดความรอบคอบ ขณะนี้ ปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยต่อคนของจีนอยู่ที่ประมาณ 5 ตัน ขณะที่สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 10 ตัน สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 20 ตัน พร้อมกันนี้ ก็ไม่ควรลืมความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ ในอดีต ประเทศอุตสาหกรรม และประเทศพัฒนาได้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากจนก่อให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกลบล้างไป "
ตามมาตรฐานของสหประชาชาติ จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีประชากรยากจนกว่า 100 ล้านคน ภาระหน้าที่ในการขจัดความยากจน และปรับปรุงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้นนั้นจึงหนักมาก อย่างไรก็ตาม จีนยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนของประเทศตน และมวลมนุษยชาติ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีนจึงพยายามลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยได้ดำเนินการในทุกวิถีทาง ซึ่งรวมทั้งปรับลดอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่ำลงด้วย จนถึงปลายปีนี้ ยอดปริมาณการสิ้นเปลืองพลังงานต่อหน่วยจีดีพีของจีนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้ลดลง 20% ซึ่งเท่ากับว่า ทั่วประเทศจีนได้ประหยัดการใช้ถ่านหิน 600 ล้านตัน ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 1,500 ล้านตัน นายโจวจี้เห็นว่า ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา จีนได้ทำอย่างเต็มที่แล้วในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เขากล่าวว่า
"จีนตระหนักว่า อนาคต และพลังการแข่งขันของตนกำลังเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จีนจึงประกาศว่า ถึงปี 2020 การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยจีดีพีจะลดลง 40%-45%เมื่อเทียบกับปี 2005 ส่วนในทางที่เป็นรูปธรรม จีนกำลังพยายามพัฒนาพลังงานทดแทน ปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น ประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลง ขณะที่ได้ละทิ้งความสามารถด้านการผลิตที่ล้าสมัยด้วย "
(IN/cai)