คำว่า "ทศวรรษแห่งทอง " เป็นคำที่ใช้อธิบายพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีน-อาเซียนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนาย หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนใช้คำนี้ระหว่างกล่าวคำปราศัยในพิธีเปิดงานมหกรรมจีน-อาเซียนครั้งที่ 10 ในช่วง10 ปีที่ผ่านมา จีนและอาเซียนได้กระชับความร่วมมือ และเพิ่มความไว้วางใจทางการเมืองมากขึ้น

เมื่อปี 1991 จีนและอาเซียนเริ่มมีการติดต่อกัน หลังจากนั้น การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายได้ประสบความสำเร็จมาก เมื่อปี 2003 จีนและอาเซียนได้สร้างความสัมพันธ์หุ้นส่วนเพื่อความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ นับจากนั้นมา เศรษฐกิจทั้งของจีนและอาเซียนพัฒนาอย่างรวดเร็ว การแลกเปลี่ยนบุคลากร และการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทั้งสองฝ่ายจัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดของโลกขึ้นเมื่อปี 2010 การค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่ายเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วง 10 ปีมานี้ จีนกลายเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับหนึ่งของอาเซียน ขณะที่อาเซียนเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับสามของจีน ปัจจุบัน ยอดมูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากเดิม 78,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 5 เท่า สำหรับการลงทุนระหว่างกันเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากเดิม 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3 เท่า นอกจากนี้ การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ก็เริ่มขึ้นแล้ว

ในแง่ความสัมพันธ์ด้านการเมือง ทั้งสองฝ่ายได้สร้างความสัมพันธ์หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ขึ้น ทำให้สามารถบริหารความแตกต่างระหว่างกันได้ด้วยดี ช่วง 10 ปีมานี้ จีนและอาเซียนได้เจรจาในประเด็นข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางทะเล หลังจากมีการลงนามในปฏิญญาว่าด้วยแนวทางปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้เมื่อปี 2002 ซึ่งได้กำหนดหลักการว่า ต้องจัดการกับข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางทะเลด้วยแนวทางสันติภาพ ถือเป็นการปฏิบัติตามกฎบัตรของสหประชาชาติอย่างเข้มงวด ขณะนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังหารือเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ด้วย