บาร์ในเมืองลาซานี่แบ่งเป็นสองประเภท ซึ่งประเภทแรกคือบาร์สำหรับนักท่องเที่ยว และอีกประเภทหนึ่งถึงจะเป็นบาร์ของชาวท้องถิ่น จริงๆ แล้ว เขาไม่ได้ตั้งใจแบ่งแบบนี้ตั้งแต่แรกหรอก แต่ทุกวันนี้ ทิเบตมีนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนไปถึงแล้วก็ตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่ทิเบตต่อไป เลยก็เปิดบาร์ขึ้น เพื่อทำมาหากิน อีกทั้งเพื่อให้เป็นแหล่งรองรับนักท่องเที่ยวที่ชอบทิเบตและวัฒนธรรมทิเบต พร้อมทั้งแสดงความชื่นชอบทิเบตด้วยการตกแต่งภายในร้าน
ฟังแล้วน่าสนทีเดียวใช่ไหม
สำหรับนักท่องเที่ยวคนเดียว ถ้าเที่ยวคนเดียวในทิเบตจะยากมาก เพราะถ้าจะไปยังสถานที่สวยงามและสนุกที่สุดในทิเบต ก็ต้องเช่ารถคันใหญ่ไป แต่ถ้าพี่ไปที่บาร์นักท่องเที่ยวในเมืองลาซา ก็ย่อมจะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ที่มีรายการท่องเที่ยวคล้ายๆ กัน ก็สามารถรวมตัวเช่ารถด้วยกัน และเที่ยวเป็นเพื่อนกันได้
จริงๆ แล้ว ในบาร์ประเภทนี้ คุณสามารถดื่มเหล้า หรือเบียร์ทิเบตกับคนอื่นๆ ที่มาจากทั่วโลก สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวกัน หรือร้องเพลงด้วยกัน พอรู้สึกเมาแล้ว ก็กลับไปนอนโรงแรมที่อยู่ข้างๆ
1. บาร์ Bagpacker (背包客 หรือ เปยเปาเค่อ)
บาร์แห่งนี้ตั้งอยู่ในถนนเป่ยจิงจงลู่ของเมืองลาซา เปิดโดยชายชาวปักกิ่งสองคน ชื่อคุณลู่เฟย และคุณหวัง หย่ง สองคนนี้รู้จักกันที่ทิเบต พอรู้จักกันเป็นเวลา 15 วันเท่านั้นเอง ก็ตกลงเปิดร้านเลย โดยนำเอาค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางของตนมาลงทุน ขณะเดียวกัน การเดินทางครั้งนั้นยังเป็นการเที่ยวทิเบตครั้งแรกของสองคนนี้ด้วย
สองคนนี้เปิดบาร์นี้ก็เพื่อให้เป็นแหล่งรองรับนักท่องเที่ยวและข้อมูลการท่องเที่ยวในทิเบต ให้ความสะดวกด้านการท่องเที่ยวแก่ผู้เดินทางต่างๆ ในร้านมีกลองและกีตาร์ และตกแต่งด้วยภาพถ่ายสวยๆ จำนวนมาก อีกทั้งยังได้แขวนเสื้อยืดและสมุดไว้บนผนังด้วย เพื่อให้ลูกค้าเขียนความคิดหรือวาดภาพตามใจชอบด้วย อาหารก็ไม่แพง แถมยังอร่อยด้วย และเล่ากันว่า เจ้าของร้านมักจะเลี้ยงเบียร์ลูกค้าเมื่ออารมณ์ดีด้วย
ร้านนี้ยังมีจุดพิเศษคือ เปิดรับอาศาสมัครด้วย คนที่เที่ยวทิเบตนี่ ยกเว้นพวกไปกับทัวร์แล้ว ส่วนใหญ่จะเที่ยวเป็นเวลานานๆ เมื่อเที่ยวชมจุดที่มีทิวทัศน์สวยงามต่างๆ เสร็จแล้ว ก็จะใช้เวลาที่เหลือพักที่เมืองลาซา เพื่อเป็นการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะฉะนั้น บาร์หลายๆ แห่งในเมืองลาซาจึงเปิดรับอาศาสมัคร เช่น ในบาร์ "แบ็กแพ็กเกอร์" นี้ ทางร้านจะจ้างนักท่องเที่ยวด้วยอาหารสองมื้อต่อวัน ถึงแม้ว่าไม่มีรายได้ แต่ลูกจ้างสามารถฆ่าเวลาทั้งวันในร้านได้ เวลาทำงาน ถ้าว่างๆ ก็สามารถเล่นอินเตอร์เน็ต หรือคุยกับลูกค้า หรือไม่ก็อาบแดด อ่านหนังสือ เขียนบันทึก อะไรแบบนี้ได้ทั้งวัน แถมยังทำอาหารเองได้ด้วย
2. บาร์ "หม่าจี๋อาหมี่" (玛吉阿米)
บาร์ "หม่าจี๋อาหมี่" ก็เป็นบาร์ที่ขึ้นชื่อมากเหมือนกัน เป็นตึกเก่าแบบทิเบตสีเหลืองสามชั้น เล่ากันว่า ตึกนี้มีอายุหลายร้อยปีแล้ว และเคยเป็นสถานที่ที่ทะไลลามะที่ 6 แอบพบกับแฟนของเขาด้วย ชื่อ "หม่าจี๋อาหมี่" นี้ก็เป็นชื่อของแฟนเขาเลย ทะไลลามะที่ 6 ยังได้แต่งกวีให้กับหม่าจี๋อาหมี่ด้วย ซึ่งขณะนี้ บทกวีบทนี้ก็ได้ตีพิมพ์ในหน้าแรกของเมนูอาหารในร้านด้วย
ผู้เปิดบาร์นี้ทีแรกเป็น 2 สาวชาวอเมริกัน ต่อมาเมื่อพวกเขาออกจากทิเบตไป ก็มีชาวทิเบตรับซื้อต่อมา ปัจจุบัน ข้างในของร้านตกแต่งเป็นแบบผสมทั้งสไตล์ฝรั่งและสไตล์ทิเบต ร้านนี้เต็มไปด้วยของประดับต่างๆ และหนังสือ มีบรรยากาศสงบสบาย อาหารก็อร่อยมากๆ ขณะนี้ยังได้เปิดสาขาร้านที่เมืองคุนหมิงของมณฑลยูนนาน และกรุงปักกิ่งด้วย ซึ่งร้านสาขาปักกิ่งก็อยู่แถวเจี้ยนกั๋วเหมิน แถวสถานทูตไทย
3. บาร์ "กาง ลา เหมย ตั่ว" (冈拉梅朵)
คำว่า "กางลาเหมยตั่ว" ในภาษาทิเบตหมายถึงดอกบัวหิมะ เจ้าของร้านเป็นนักวาดภาพชาวฮั่น ผู้ดำเนินกิจการของร้านเป็นสาววัย 20 กว่าปีจากเมืองต้าเหลียน บาร์นี้เต็มไปด้วยภาพวาดเนื้อหาทิเบต แต่ไม่ใช่เพื่อตกแต่งร้าน หากเป็นภาพวาดที่ศิลปินจากลาซาฝากมาขาย นอกจากนี้ เจ้าของร้านยังมีแผนที่จะให้บริการการวาดภาพถังข่า หรือทังกา รวมทั้งการทำรอยสักด้วย ซึ่งภาพถังข่านี่ เป็นหรือภาพลายปักบนผ้าไหมหรือกระดาษ ที่แสดงถึงขนบทำเนียมประเพณีของชาวทิเบต
Ton/Ldan