เมื่อขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ จูหยวนจาง ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงทรงตระหนักดีว่า สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยทั่วไปอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากมาก เพราะชาวนาจำนวนมากต้องอพยพหนีภัยสงคราม พลัดที่นาคาที่อยู่ ไม่มีที่ทำกิน จูหยวนจางจึงทรงอนุญาตให้ชาวนาเหล่านี้เข้าจับจองที่ดินทำกินกันได้ตามท้องที่ที่รกร้างว่างเปล่าในบริเวณลุ่มแม่น้ำหวายเหอ โดยทางรัฐบาลจัดหาวัวและพืชสำหรับเพาะปลูกให้ด้วย ชาวนาเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานภายในเวลา 3 ปี ด้วยนโยบายดังกล่าว ชาวนารับจ้างที่ไม่มีงานทำตามบริเวณที่ราบลุ่มตอนล่างของแม่น้ำแยงซีจึงพากันอพยพไปยังบริเวณลุ่มแม่น้ำหวายเหอ เพื่อจับจองที่ดินรกร้างว่างเปล่าและทำไร่ไถนากัน ต่อมา ราชวงศ์หมิงออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้ชาวนาต้องสงวนที่ดินส่วนหนึ่งไว้ปลูกฝ้าย เพื่อสนับสนุนการผลิตผ้าฝ้าย นอกจากนี้ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงยังสนพระทัยในการชลประทาน เพื่อสนับสนุนการผลิตข้าวให้มีผลดียิ่งขึ้น มาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ปริมาณการผลิตเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ อุตสาหกรรมช่างฝีมือและ พาณิชยกรรม ก็เจริญขึ้น ยังผลให้จำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้นด้วย
จักรพรรดิจูหยวนจางทรงนิยมชมชอบในฮั่นเกาจู่ ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ฮั่นเป็นพิเศษ เพราะมีกำเนิดมาจากชาวนา และมีฐานะต่ำต้อยรวมทั้งต้องฟันฝ่าต่อสู้อย่างสาหัสสากรรจ์จนได้เป็นถึงจักรพรรดิเช่นเดียวกับพระองค์ จูหยวนจางจึงสนพระทัยเป็นพิเศษในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น โดยเฉพาะความรุ่งโรจน์และเสื่อมสลาย ซึ่งสาเหตุแห่งความเสื่อมในประการแรกของราชวงศ์ฮั่นก็มาจากพระมเหสีของจักรพรรดิฮั่นเกาจู่รวบอำนาจไว้แล้วเข้าปกครองอาณาจักรเองเมื่อฮั่นเกาจู่สิ้นพระชนม์ ในแง่นี้ จักรพรรดิจูหยวนจางแตกต่างจากฮั่นเกาจู่ เพราะพระมเหสีหม่าหวงโฮ่วของจูหยวนจางเป็นสตรีที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่ไม่มีความทะเยอทะยานในอำนาจ แม้ว่าจักรพรรดิจูหยวนจางดำริจะตั้งญาติพี่น้องของพระนางให้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ พระมเหสีหม่าหวงโฮ่วก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่น โดยยืนยันว่า ญาติพี่น้องของพระนางไม่ได้มีความรู้อะไรในการปกครองบริหารบ้านเมือง ถ้าจักรพรรดิจูหยวนจางขืนแต่งตั้งให้ญาติพี่น้องของพระนางเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ก็มีแต่จะทำให้ญาติพี่น้องของพระนางตกอยู่ในภาวะอันตราย
ในเมื่อราชสำนักฝ่ายในไม่เป็นปัญหาและพระมเหสีหม่าหวงโฮ่วก็สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ต้นรัชกาล ประกอบกับจักรพรรดิจูหยวนจางมีความรักและอาลัยในพระมเหสีหม่าหวงโฮ่ว ซึ่งเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของพระองค์ จักรพรรดิจูหยวนจางจึงไม่ยอมแต่งตั้งนางสนมคนใดขึ้นมาเป็นพระมเหสีองค์ใหม่ สาเหตุแห่งความเสื่อมของราชวงศ์ในประการแรกจึงไม่มีทางที่จะก่อให้เกิดเหตุร้ายแรงใดๆ ส่วนสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ราชวงศ์ฮั่นเสื่อมสลายคือ ปัญหาขันที เพราะขันทีเคยเป็นสาเหตุสำคัญแห่งความเสื่อมจนถึงสลายของหลายราชวงศ์ จักรพรรดิจูหยวนจางทรงตระหนักถึงภัยจากขันทีเป็นอย่างดี จึงได้วางข้อกำหนดห้ามไม่ให้ขันทีมีโอกาสศึกษาหาความรู้ เพราะทรงถือว่า ถ้าขันทีมีความรู้สูงขึ้นก็จะยิ่งมีความทะเยอทะยานในการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจักรพรรดิจูหยวนจางจะเพียรพยายามศึกษาข้อดีข้อด้อยของจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนๆ และทรงพยายามหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมของราชวงศ์หมิง แต่เหตุการณ์ที่นอกเหนือความคาดคิดของพระองค์ก็ยังเกิดขึ้นจนได้ จูเปียว โอรสองค์หัวปีของจักรพรรดิจูหยวนจาง และเป็นรัชทายาทที่จูหยวนจางมั่นหมายว่าจะให้ขึ้นครองราชย์ในฐานะจักรพรรดิต่อจากพระองค์ต้องมาสิ้นพระชนม์โดยกะทันหัน ขณะที่จูเปียวสิ้นพระชนม์นั้น จูหยวนจางมีพระชนมายุกว่า 60 พรรษาแล้ว เมื่อราชโอรสที่ทรงหวังไว้มากต้องมาสิ้นพระชนม์ก่อนพระองค์ จูหยวนจางย่อมเสียพระทัยอย่างมาก และก็ทรงตั้งบุตรชายของจูเปียว คือ จูหยุ่นเหวินขึ้นมาเป็นรัชทายาทคนต่อไป
การตัดสินพระทัยของจักรพรรดิจูหยวนจางครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นความผิดพลาดครั้งหนึ่ง ยังผลให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ไม่นาน เนื่องจากจักรพรรดิจูหยวนจางทรงมีโอรสหลายองค์ที่เคยกรำศึกมากับจักรพรรดิจูหยวนจางเป็นเวลาช้านาน หลังจูหยวนจางขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ทรงแต่งตั้งโอรสเหล่านี้เป็นเจ้า และให้แยกย้ายกันอยู่ตามท้องที่ต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้ช่วยป้องกันเมืองหลวง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น แต่ในการที่จักรพรรดิจูหยวนจางตั้งจูหยุ่นเหวิน ราชนัดดาขึ้นมาเป็นรัชทายาท ก็เป็นธรรมดาที่บรรดาอาที่เคยผ่านการสงครามมามากแล้วจะไม่เห็นหลานชายคนนี้อยู่ในสายตา จูหยุ่นเหวินรัชทายาทที่จูหยวนจางทรงแต่งตั้งได้ขึ้นครองราชย์เมื่อค.ศ.1399 มีชื่อรัชสมัยว่า เจี้ยนเหวิน ขณะขึ้นครองราชย์ จักรพรรดิเจี้ยนเหวินมีพระชนมายุเพียง 21 พรรษา สำหรับบรรดาพระปิตุลาของพระองค์ที่เคยผ่านสมรภูมิมากับพระราชบิดาอย่างโชกโชนและก็มีกำลังทหารอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ย่อมไม่อาจยอมรับโอรสแห่งสวรรค์องค์นี้ได้ โดยเฉพาะเอี้ยนหวาง โอรสองค์ที่ 4 ของจูหยวนจาง เอี้ยนหวางมีอายุ 39 ปี นับได้ว่าอยู่ในวัยที่บรรลุวุฒิภาวะโดยสมบูรณ์ และมีประสบการณ์ทั้งในฐานะแม่ทัพและนักปกครองยิ่งกว่าโอรสทุกองค์ของจูหยวนจาง ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่จูหยวนจางไว้วางพระทัยให้เอี้ยนหวางเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารทั้งหมดในภาคเหนือของอาณาจักร โดยมีปักกิ่งเป็นศูนย์กลางของการบังคับบัญชา หรือฐานที่มั่นสำคัญทางการทหาร เพื่อป้องกันและต่อต้านการรุกรานของชนเผ่ามองโกล
ความจริง ตอนปลายพระชนม์ชีพ จูหยวนจางก็พอจะคาดการณ์ได้ว่า บรรดาโอรสของพระองค์คงจะไม่ยอมรับรัชทายาทที่พระองค์ตั้งขึ้นนี้ เมื่อใกล้จะสิ้นพระชนม์จึงได้มีพระราชโองการห้ามไม่ให้โอรสของพระองค์คนใดเดินทางมาร่วมพระราชพิธีศพของพระองค์ในเมืองหนานจิง แต่เอี้ยนหวางไม่ยอมปฏิบัติตาม โดยอ้างว่าพระราชโองการดังกล่าวเป็นของปลอม ได้ออกเดินทางตรงมายังเมืองหลวงหนานจิง ในทันทีที่จูหยวนจางสิ้นพระชนม์ แต่ก็ถูกยับยั้งโดยพระราชโองการของจักรพรรดิองค์ใหม่ โดยจักรพรรดิองค์ใหม่ได้ส่งกองทัพมาสกัดกั้นไว้ เอี้ยนหวางจึงจำเป็นต้องถอยทัพกลับไปตั้งหลักที่ปักกิ่ง ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของตน