สำนักข่าวซินหวารายงานว่า วันที่ 5 สิงหาคม นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซินหวาที่กรุงปักกิ่งว่า จีนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนกับสหรัฐฯอย่างตรงไปตรงมาและมีประสิทธิผล จีนจะใช้สติและท่าทีที่มีความสุขุมเยือกเย็นรับมือกับการเคลื่อนไหวที่ไม่ไตร่ตรอง และความกังวลของสหรัฐฯ
นายหวัง อี้ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างจีน-สหรัฐฯไม่ใช่แบบฝ่ายหนึ่งมีบุณคุณต่ออีกฝ่ายหนึ่ง และก็ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งจีนและสหรัฐฯควรได้รับประโยชน์มหาศาลจากความร่วมมือระหว่างกัน จึงไม่มีปัญหาใครได้เปรียบเสียเปรียบ การพัฒนาของจีนและสหรัฐฯไม่ใช่เกมที่ฝ่ายหนึ่งชนะอีกฝ่ายหนึ่งต้องแพ้ จึงไม่ควรใช้มาตรการกีดกันอีกฝ่าย สองประเทศสามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อประสบความสำเร็จร่วมกัน
นายหวัง อี้ ชี้ว่า ยอดมูลค่าเศรษฐกิจของจีนและสหรัฐฯมีมากกว่า 1 ใน 3 ของโลก การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีกว่าครึ่งเกิดจากจีนและสหรัฐฯ ยอดมูลค่าการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯเพิ่มขึ้นกว่า 250 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่สองประเทศเพิ่งสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และขณะนี้ ยอดมูลค่าการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯคิดเป็น 1 ใน 5 ของทั่วโลก และการลงทุนระหว่างกันได้เพิ่มขึ้นจาก 0 มาเป็น 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่การไปมาหาสู่กันระหว่างบุคคลมีมากกว่าปีละ 5 ล้านคน
นายหวัง อี้ กล่าวด้วยว่า จีนและสหรัฐฯมีระบบสังคมและด้านอื่นๆ ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ความแตกต่างเหล่านี้ไม่ควรส่งผลกระทบต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและความร่วมมือที่ได้รับชัยชนะร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็น และก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่ต้องเคารพแนวทางการพัฒนาที่ประชาชนของอีกฝ่ายหนึ่งเลือกด้วยตนเอง ขณะนี้ เศรษฐกิจโลกกำลังได้รับผลกระทบร้ายแรงจากสถานการณ์โควิด-19 จีนและสหรัฐฯในฐานะเขตเศรษฐกิจใหญ่สองอันดับแรกของโลกต้องยืนหยัดเอื้อประโยชน์แก่กันอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน และผลักดันการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศด้วยความร่วมมือ หากไม่ใช่บังคับให้ตัดขาดออกจากกัน นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังต้องแบกรับภาระหน้าที่ที่พึงมีต่อโลกด้วย
นายหวังอี้ ชี้ ขณะนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯกำลังเผชิญกับสถานการณ์ล่อแหลมที่สุดนับตั้งแต่สองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นต้นมา การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในด้านต่างๆ ล้วนถูกรบกวนอย่างรุนแรง สาเหตุขั้นพื้นฐานที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้คือ อิทธิพลการเมืองบางส่วนภายในสหรัฐฯมีอคติและวางตัวเป็นศัตรูกับจีน ใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือ สร้างคำโกหกและใส่ร้ายจีนด้วยเจตนาร้าย พร้อมทั้งสร้างอุปสรรคขัดขวางการไปมาหาสู่กันที่เป็นปกติระหว่างประชาชนสองประเทศด้วยข้ออ้างต่างๆ พวกเขาทำเช่นนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะทำลายการติดต่อระหว่างจีน-สหรัฐฯ ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนของสองประเทศเกิดการเป็นปรปักษ์ และทำลายพื้นฐานความไว้วางใจระหว่างสองประเทศ ทำให้สองประเทศเกิดการปะทะและการเป็นปรปักษ์อีกครั้ง และสถานการณ์โลกตกอยู่ในภาวะวุ่นวายแตกแยก จีนจะไม่ยอมให้แผนอุบายเช่นนี้ปรากฏเป็นจริงขึ้น จีนคัดค้านความมุ่งหมายที่อาจนำไปสู่การเกิด “สงครามเย็นครั้งใหม่” เพราะมันเป็นสิ่งที่ละเมิดประโยชน์ขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งสองประเทศ และสวนทางกับกระแสการพัฒนา ความก้าวหน้าของโลก
นายหวัง อี้เน้น เป้าประสงค์ของจีนมีเพียงประการเดียว นั่นก็คือ เร่งรัดให้สหรัฐฯละทิ้งท่าทียโส และความมีอคติต่อจีน ผ่อนคลายสถานการณ์อันตึงเครียดในขณะนี้โดยผ่านการพูดคุยเจรจาที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันและสร้างสรรค์ เพื่อนำความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกลับสู่แนวทางที่ถูกต้อง คือ ไม่เป็นปรปักษ์ เคารพซึ่งกันและกัน และร่วมมือแบบได้ชัยชนะร่วมกัน เป็นเช่นนี้แล้วจึงสอดคล้องกับประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ และความปรารถนาโดยทั่วไปของประชาคมโลก
หวัง อี้ กล่าวว่า จีนไม่ต้องการทำสิ่งที่เรียกว่า “สงครามการทูต” กับสหรัฐฯ เพราะการกระทำเช่นนี้มีแต่จะทำลายประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศมากขึ้น ประตูแห่งการพูดคุยเจรจาของจีนยังคงเปิดกว้าง จีนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนและพูดคุยเจรจากับสหรัฐฯ โดยยึดหลักมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และเปิดกว้าง ยินดีที่จะฟื้นฟูกลไกการพูดคุยเจรจาระหว่างสองฝ่ายในทุกระดับ และทุกด้าน
นายหวัง อี้ กล่าวอีกว่า ทั้งจีนและสหรัฐฯต้องปฏิเสธไม่ให้มีการตัดขาดออกจากกัน ต้องรักษาความร่วมมือ ประโยชน์ของจีน-สหรัฐฯได้ผสมผสานกันในระดับลึกซึ้ง การบังคับให้เกิดการตัดขาดออกจากกันนั้น จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในระยะยาว และทำให้ความปลอดภัยของห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลกและประโยชน์ของประเทศต่างๆ เสี่ยงต่ออันตราย ขณะนี้ โลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 จีนยินดีดำเนินความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กันในด้านต่างๆกับสหรัฐฯ เช่น การป้องกันควบคุมการระบาดของไวรัส และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จีนยินดีศึกษาเรียนรู้กันและกันกับสหรัฐฯ และแบ่งปันประสบการณ์ในการป้องกัน ควบคุมการระบาดของโรค พร้อมทั้งร่วมกันผลักดันความร่วมมือพหุภาคีของโลกในการต้านการระบาดของโควิด-19
(yim/cai)