เมื่อวันที่ 24 มีนาคม การปะทะทางทหารระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งเดือน มีบุคคลจากแวดวงต่าง ๆ ทั่วโลกจำนวนหนึ่งเชื่อว่า ต้นเหตุของความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อยู่ที่การขยายตัวขององค์การ NATO ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักต่อภัยพิบัติครั้งนี้
เมื่อเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุไม่เพียงแต่ทำตัวหูหนวกเท่านั้น หากยังเทน้ำมันลงกองไฟด้วย โดยหวังว่ารัสเซียและยูเครนจะสู้กันต่อไป เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางเยือนยุโรป ฝ่ายสหรัฐฯ ระบุว่า การเยือนครั้งนี้เพื่อหารือมาตรการใหม่ต่าง ๆ เพื่อต่อต้านรัสเซีย รวมถึงจะมีการคว่ำบาตรเพิ่มอีกด้วย ปัจจุบันรัสเซีย-ยูเครนปะทะกันมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว หากสหรัฐฯ ให้พันธมิตรตะวันตกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอีก ก็เท่ากับเพิ่มน้ำมันลงกองไฟแห่งความขัดแย้งนี้ มีแต่ทำให้ทั่วโลกเห็นถึงเจตนาของสหรัฐฯ ที่อยากสร้างความปั่นป่วนอย่างชัดเจน
1 เดือนที่ผ่านมานี้ ประชาชนยูเครนที่ตกอยู่ในภาวะสงครามและประชาชนรัสเซียที่ตกอยู่ภายใต้การคว่ำบาตร สหรัฐฯ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ เคยกล่าวว่า พวกเขาต้องการป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น พูดแล้วควรต้องปฏิบัติตาม ควรสร้างเงื่อนไขที่จะส่งเสริมให้การเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครนสามารถบรรลุผลและบรรลุสันติภาพ แต่ไม่ใช่ว่าจะเลือกปฏิบัติอีกทางหนึ่ง ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์และจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ที่ตั้งใจเทน้ำมันลงกองไฟ ย่อมจะทำให้ตัวเองถูกไฟไหม้เสียเอง
Tim/Lei/Cui