ชมนิทรรศการในเมืองหนานจิง

ทริปฯ นักข่าวในเมืองหนานจิงซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่ติดอันดับโหวต เมืองวัฒนธรรมของจีนปีนี้ มีคำอยู่สองคำซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นใจความเนื้อหาตลอดการเดินทาง คือคำว่า "เนิบช้า" และ "สีเขียว"

นายเฉิน กัง รองนายกเทศมนตรี หนานจิง ได้ให้สัมภาษณ์ในการพบกับกลุ่มผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ซีอาร์ไอพามานี้ว่า "วิสัยทัศน์ของทางการท้องถิ่น ต้องการพัฒนาหนานจิงอย่างมีดุลยภาพต่อชีวิตผู้คน และเน้นคำว่า "Fast Transportation, Slow Living"

จุดเด่นๆ ในการเดินทางวันนี้ คงอยู่ที่ ภูเขาจงซาน แม่น้ำฉินหวาย และกำแพงเมืองหมิง (กำแพงเมืองหนานจิง) มีคำพูดหนึ่งที่รองนายกเทศมนตรีพูดแล้วน่าสนใจคือคำว่า "นักท่องเที่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ที่นักท่องเที่ยว ก็สามารถเข้ามาสัมผัสถึงไม่ใช่เพียงมาเป็นผู้ชม"

"พิธีชงชา ความเนิบช้า ที่ทำให้สมดุลชีวิตกลับคืน"

วันแรกของการมาหนานจิง กำหนดการที่เข้าชมพิธีชงชาตอนสองทุ่ม หลายคนคงคิดว่าไม่ได้ดูก็ไม่เป็นไร เพราะรู้สึกว่าใจวุ่นวาย ก็คิดว่านอนพักชมทีวีตามวิถีฯ ที่คุ้นเคยดีกว่า

แต่การเข้ามีส่วนร่วมในการเรียนรู้วิธีชงชาที่หนานจิง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวฯ ได้ร่วมอยู่กับวัฒนธรรมนี้ ได้อยู่กับความเนิบช้า ของวิธีชงชาสักพัก จนกระทั่งได้น้ำชารินถ้วยดื่ม หลายคนคงรู้สึกว่าความวุ่นวายก่อนหน้าได้หายไปโดยไม่รู้ตัว สงบอยู่กับความว่างเปล่าของถ้วยชาที่ดื่มหมด

จริงอยู่ว่า การชงชาแบบนี้คงไม่ใช่การชงชาในชีวิตประจำวัน แต่การได้รู้วิธีที่จะเนิบช้าเป็นหนึ่งเดียวกับการชงชานี้ อาจจะเป็นอีกด้านซึ่งช่วยปลดปล่อยความวุ่นวายออกจากความคิดได้แม้เพียงชั่วประเดี๋ยวก็ยังดี

ผู้สื่อข่าวนานาชาติชมกำแพงเมืองหนานจิง

"กำแพงเมืองหนานจิง ป้องกันประเทศ เพื่อรักษาความเจริญของชาติ"

ความที่หนานจิงเป็น หนึ่งในสี่เมืองโบราณของจีน เป็นเมืองหลวงสมัยราชวงศ์หมิงตอนต้น ซึ่งสามารถรวบรวมสร้างความเป็นปึกแผ่นบนแผ่นดินจีน จึงมีมรดกทางวัฒนธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก

ขงเบ้ง กุนซืออัจฉริยะในสมัยสามก๊ก เคยกล่าวเอาไว้ว่า "หนานจิง ช่างเป็นภูมิศาสตร์เมืองในอุดมคติของกษัตริย์จริงๆ ด้วยเขาจงซานนั้นเป็นทิวคล้ายกับมังกร รับกับตัวเมืองหนานจิง ที่คล้ายพยัคฆ์นอนหมอบอยู่ด้านล่าง" และมีชัยภูมิที่เหมาะในการป้องกันประเทศ

กำแพงเมืองหนานจิง คือสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่มาแต่โบราณ ของหนานจิง ที่ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็นอยู่ ผิดกับเมืองปักกิ่ง ที่แนวกำแพงส่วนใหญ่ถูกทุบทิ้งไปแล้วอย่างน่าเสียดาย

กำแพงเมืองโบราณนี้ สร้างในสมัยจูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิง มีอายุเกือบ 600 ปี ระยะทางล้อมรอบเมือง ยาวประมาณ 36 ก.ม. สูง 12 เมตร ใช้เวลาสร้างกว่า 21 ปี

อิฐแต่ละก้อนสลักชื่อคนทำเอาไว้ และว่ากันว่าจำนวนก้อนอิฐที่ใช้ซึ่งทำจากปูนผสมกับข้าวเหนียวนี้ ถ้าจะนับว่ามีกี่ก้อนคงยาก แต่เปรียบๆ ไปพอเห็นภาพได้ว่า เอามาวางเรียงกันรอบโลกได้ 3 รอบ

ปัจจุบันกำแพงนี้ ถือเป็นมรดกไม่เพียงของชาวจีน แต่ของโลกด้วย เป็นสิ่งก่อสร้างที่ผ่านศึกสงคราม ผ่านการเผาทำลาย ยืนยงมานานกว่า 600 ปีโดยอาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่ดำรงอยู่ในวันนี้คือ สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมแห่งการสร้างความเป็นปึกแผ่นและรักษาความเจริญของชาติให้ดำรงสืบไป

บนกำแพงเมืองหนานจิง ป้องกันประเทศ เพื่อรักษาความเจริญของชาติ

"ต้นอู๋ถง เรียงราย"

สิ่งที่สวยงามในหนานจิงนั้นมีหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นคือถนนบนทางไปสู่สุสาน ดร.ซุนยัดเซ็น ที่ตลอดสองข้างทาง ความยาวกว่า 3 กม. เรียงรายด้วยต้นอู๋ถง อายุมากกว่า 80 ปี ซึ่งยังคงแข็งแรงสูงใหญ่แผ่ร่มเงาครึ้ม โดยต้นอู๋ถงนี้ ยังสามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไปในเมืองหนานจิงด้วย นับว่าเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของเมืองหนานจิง

"ล่องน้ำฉินหวาย และการแสดงแสงสีเสียง ริมสายน้ำ"

การได้นั่งล่องเรือโบราณ ชมทิวทัศน์และสถาปัตยกรรมยุคหมิง ที่เรียงรายอยู่ตามสองฝั่งในยามราตรีของแม่น้ำ "ฉินหวย" น่าจะเป็นไฮไลต์ในการมาเที่ยวชมวัฒนธรรมของเมืองหนานจิง

ความมืดโดยรอบกับโคมไฟประดับ ทำให้นักท่องเที่ยวจะรู้สึกว่าลอยอยู่ในมหรสพชีวิตโรงใหญ่ ที่มีฉากหลังเป็นแผ่นดินจีนยุคหมิง

ความเพลิดเพลินในการรับรู้ เรื่องราวความเป็นมาผ่านการแสดงทางวัฒนธรรม ประกอบด้วยดนตรีและนาฏศิลป์ ฟ้อนรำโบราณต่างๆ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการแสดงทางวัฒนธรรมที่สมบูรณ์แบบ จนรู้สึกร่วมกับสายธารชีวิตบนแม่น้ำฉินหวยนี้ว่า แม้เวลาจะเคลื่อนไหลผ่านชาวเมืองหนานจิงไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่วัฒนธรรมยังคงไม่ขาดสาย หรือเปลี่ยนทางไป 

วัดโบราณชีเสีย เมืองหนานจิง

ภาพและเรื่อง โดย เกรียงไกร พรพิพัฒน์กุล ผู้สื่อข่าวผู้จัดการ และ ไช่ เจี้ยนซิน ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอ