"ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา ตีนปูก็เริ่มคัน"
พอย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง หรือเดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน มีอาหารชนิดหนึ่งจะได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษของชาวจีน นั่นก็คือ ปูขน ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูตกไข่ของปูขน จึงเป็นฤดูกาลที่ปูอร่อยที่สุด ปูจากทะเลสาบหยางเฉิงหูเป็นปูขนที่ขึ้นชื่อที่สุด และราคาแพงที่สุด ก่อนออกมาวางจำหน่ายในตลาด แหล่งผลิตปูขนยี่ห้อหยางเฉิงหูจะจัดการประชุมแถลงข่าวเพื่อประกาศการเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และปริมาณผลิตปีหนึ่งเพียง 2000 กว่าตันเท่านั้น เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้ชิมปูขนแท้นับว่าน้อยมาก
จีนมีประวัติการกินปูมา 5000 กว่าปีแล้ว ที่ดินดอนสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำฉางเจียง นักโบราณคดีได้ขุดพบเศษอาหารของชาวจีนสมัยโบราณ ปรากฏว่ามีกระดองปูจำนวนมาก แสดงว่าชาวจีนกินปูมานานแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ ชาวยุโรปและอเมริกาเหนือยังคงถือปูเป็นสัตว์ที่น่ากลัวและไม่กล้าเอามาทำเป็นอาหารเลย
การกินปูขนถือเป็นลาภปากอย่างหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง และช่วงเวลาที่เหมาะกับการกินปูตัวผู้และตัวเมียก็ต่างกัน ตัวเมียจะมีไข่มากที่สุดในเดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติ ส่วนเวลาที่เหมาะกับกินปูตัวผู้อยู่เดือน 10 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ทุกวันนี้ หากใครมีโอกาสกินปูขนยี่ห้อหยางเฉิงหูแท้ในฤดูใบไม้ร่วง ถือเป็นเรื่องที่น่าอวด ไม่ว่าโรงแรม ภัตตาคารซีฟู๊ด ร้านอาหารกวางตุ้ง ร้านอาหารเสฉวนหรือร้านอาหารเซี่ยงไฮ้ ล้วนมีอาหารจานเด็ดอย่างหนึ่ง คือ"ต้าจ๋าเซี่ย" หรือปูขนนั่นเอง และก่อนปูขนจำนวนแรกถูกจับขึ้นฝั่งประมาณ 1 เดือนกว่า ก็มีการจำหน่ายคูปองหรือบัตรสั่นซื้อล่วงหน้า ราคาตั้งแต่ตัวละ 10 กว่าหยวนจนถึงหลายร้อยหยวน จนทำให้บรรดาผู้บริโภคพากันไม่เข้าใจว่า ทำไมราคาต่างกันมากถึงขนาดนี้ และอะไรจึงจะเป็นปูขนแท้ ต้นทุนการเลี้ยงปูเป็นเท่าไรกันแน่ และขั้นตอนการเข้าสู่ตลาดเป็นยังไง
เกษตรกรผู้เลี้ยงปูรายหนึ่งบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะปล่อยปูตัวเล็กๆ ที่ฟักออกจากไข่ลงในสระ ส่วนอาหารเลี้ยงปูทำจากหอย ปลาและกุ้ง ต้นทุนไม่น้อยทีเดียว ผู้เลี้ยงปูบอกว่า ต้นทุนของการเลี้ยงปูส่วนใหญ่ประกอบด้วย 3 ส่วน หนึ่งคือ เงินที่ใช้ในการซื้อลูกปู ครึ่งกิโลประมาณ 50 หยวน ส่วนที่สองที่อาหารเลี้ยงปู ซึ่งเป็นการใช้จ่ายมากที่สุด เพราะราคาของปลา กุ้ง หอยและข้าวโพด ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารเลี้ยงปูแพงขึ้นทุกปี นอกจากนี้ ยังมีการใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่งคือค่าดูแลฟาร์ม ค่าน้ำมันเรือ เป็นต้น เมื่อเฉลี่ยแล้วต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 10 หยวนต่อปูหนึ่งตัว แต่ไม่ใช่ปูทุกตัวจะโตถึงขนาดขายได้และขายได้ราคาดี นั่นหมายถึงต้องมีน้ำหนักอย่างน้อย 125 กรัมขึ้นไป จึงจะขายได้ หากมีน้ำหนัก 150-250 กรัม จะขายได้ราคาดี ซึ่งจำนวนของปูที่มีน้ำหนักถึงมาตรฐานจะเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของปูที่เลี้ยงไว้ทั้งหมด เมื่อคำนวณแล้วต้นทุนการเลี้ยงปูขนตัวหนึ่งตกประมาณ 25 หยวน ซึ่งยังไม่รวมค่าเหนื่อยของผู้เลี้ยงปูด้วย