หลังจากเรียนภาษาได้แล้ว เธอก็สอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมสังกัดสถาบันดนตรีกลางของจีน เพื่อเรียนรู้การร้องเพลง ซึ่งทั้งชั้นมีเธอคนเดียวที่เป็นชาวต่างชาติ ก่อนเข้าประกวดร้องเพลง น้องอิ๊งค์ได้ไปร้องเพลงประจำอยู่ที่ร้านอาหารเติ้ง ลี่จวิน บนถนนไต้หวันของกรุงปักกิ่ง ซึ่งเปิดโดยพี่ชายของเติ้ง ลี่จวิน เธอบอกว่า การร้องเพลงที่ร้านนี้ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพื่อฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ ให้ตนเองเคยชินกับเวทีและผู้ชม

ในรายการ "เดอะวอยซ์ออฟไชน่า" โค้ชทั้ง 4 ท่านจะเลือกผู้สมัครหรือไม่ โดยฟังจากน้ำเสียงอย่างเดียว ดังนั้น เมื่อน้องอิ๊งค์เข้าประกวดรอบแรก แม้จะร้องได้เหมือนและไพเราะขนาดไหน แต่ก็ไม่มีโค้ชคนใดหมุนเก้าอี้ เพราะทุกคนไม่รู้ว่าเธอเป็นชาวต่างชาติ และแม้จะรู้สึกว่าร้องได้ดี ร้องได้เหมือนเติ้ง ลี่จวินมาก แต่เกรงว่าเธอจะไม่สามารถร้องเพลงแนวอื่นได้ เพราะในยุคสมัยนี้ วงการดนตรีและผู้ชมต้องการนักร้องที่มีเอกลักษณ์และมีความสามารถหลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนตนเองได้หลายสไตล์ รายการวันนั้น "เจย์ โช" หนึ่งในโค้ชทั้งสี่ของรายการ ก็รู้สึกประทับใจและชื่นชมความสามารถของเธอเป็นพิเศษ จึงได้ขึ้นเวทีร่วมร้องเพลงกับน้องอิ๊งค์บนเวทีด้วย

หลังผ่านไปหนึ่งเดือน ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจีนได้โหวตผู้สมัครที่ตกรอบแรก ซึ่งคนที่ได้คะแนนสูงสามารถกลับสู่เวที "เดอะวอยซ์ออฟไชน่า" ได้อีกครั้ง น้องอิ๊งค์เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับคะแนนโหวตอย่างท่วมท้น ซึ่งเธอยังเลือกที่จะยืนหยัดจุดยืนเดิมของตนเอง เลือกที่จะร้องเพลงของเติ้ง ลี่จวินอีกเพลงหนึ่งบนเวที ทำให้ "น่า อิง" โค้ชหญิงเพียงคนเดียว จำได้ทันทีและไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะหมุนเก้าอี้ เพื่อรับเธอเข้าทีมของตนเองทันที

ในการแข่งขันครั้งต่อมา โค้ชน่าอิง เลือกให้น้องอิ๊งค์และผู้สมัครอีกคนหนึ่งร่วมกันร้องเพลง "หงโต้ว(红豆)" เพลงฮิตของหวังเฟย ทำให้น้องอิ๊งค์ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า นอกจากเพลงเติ้ง ลี่จวินแล้ว เธอสามารถร้องเพลงสไตล์อื่นได้ดีไม่แพ้กัน แม้ว่าสุดท้าย น้องอิ๊งค์จะไม่ได้เข้าไปจนถึงรอบสุดท้าย แต่เธอก็ไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเธอรู้สึกว่าการไปร่วมแข่งขันครั้งนี้ เป้าหมายไม่ใช่เพื่อได้ที่หนึ่ง แต่เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และไม่ปล่อยให้โอกาสที่ได้แสดงความสามารถหลุดมือไป ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจีนจึงชื่นชมว่า สาวน้อยวัยเพียง 16 ปีคนนี้ ย่อมจะพัฒนาไปได้ไกล

แม้ว่ารายการเดอะวอยซ์ออฟไชน่า ซีซั่น 4 จะผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว แต่คนจีนยังไม่ได้ลืมสาวไทยคนนี้ บางคนยังคงสงสัยว่า น้ำเสียงและหน้าตาที่ละม้ายคล้ายเติ้ง ลี่จวินขนาดนี้ จะใช่กลับชาติมาเกิดหรือไม่ เพราะบางคนเข้าใจผิดว่า วันเกิดของน้องอิ๊งค์ตรงกับวันที่เติ้ง ลี่จวินเสียชีวิต ซึ่งน้องอิ๊งค์ว่า ยินดีที่คนอื่นเห็นว่าเธอเหมือนเติ้ง ลี่จวิน แต่ที่จริงแล้วเธอเป็นเธอ ไม่ใช่เกิดวันที่เติ้งลี่จวินเสียชีวิตแต่อย่างใด

และแม้ทุกวันนี้ จะมีชาวจีนจำนวนมากชื่นชอบเธอ แต่เธอก็รู้ว่า เมื่อมีคนชอบก็ย่อมต้องมีคนไม่ชอบ เธอก็จะพยายามฝึกฝนตนเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เสียงร้องของเธอสร้างความสุขให้กับผู้ฟังมากขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้เธอเองมีความสุขมากเช่นกัน