ผลวิจัยพบว่า การศึกษาจะสามารถส่งเสริมการทำงานของไซแนปส์มากยิ่งขึ้น ซึ่งไซแนปส์ที่ไม่ได้ใช้งานก็จะถูกยกเลิกไป สรุปก็คือ ในช่วงวัย 0-3 ขวบ เป็นช่วงที่ไซแนปส์ของเด็กพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ควรให้การกระตุ้นที่สมบูรณ์กับเด็ก เพื่อสามารถส่งเสริมการพัฒนาสร้างช่องทางระหว่างไซแนปส์กับประสาท ซึ่งส่งเสริมความสามารถด้านการเรียนรู้ และส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาในอนาคต
2.ต่างประเทศก็ให้ความสำคัญกับการศึกษาปฐมวัย
ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าการศึกษาปฐมวัยจะได้รับความสนใจจากผู้ปกครองชาวจีนเป็นพิเศษเท่านั้น ในต่างประเทศก็ให้ความสำคัญกับการศึกษาปฐมวัยช่วง 0-3 ขวบด้วย
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1960 อดีตสหภาพโซเวียตก็เสนอเริ่มฝึกทักษะทางประสาทสัมผัสในเด็กทารกโดยเห็นว่ายิ่งเร็วยิ่งดี และสหรัฐฯได้ดำเนินญัตติงบประมาณกองทุนการศึกษาสำหรับเด็กเล็กเป็นจำนวนถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ของยุโรปยังได้กำหนดแผนการหรือญัตติเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยช่วง 0-3 ขวบด้วย เช่น กระทรวงศึกษาธิการอังกฤษได้จัดตั้งเว็บไซต์ทางการด้านการศึกษาปฐมวัย เป็นต้น
สำหรับคนรุ่นปู่ย่าบางท่านอาจเห็นว่า ตอนที่เลี้ยงเราก็ไม่ได้พาไปสถาบันพิเศษสำหรับเด็กเล็ก เราโตมาก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ ทำไมต้องเสียเงินส่งหลานไปเรียนสถาบันพิเศษแพงๆ แบบนี้
คุณพ่อคุณแม่บางท่านที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ อาจอธิบายให้พวกท่านเข้าใจว่า ยุคสมัยเปลี่ยนไปไม่เหมือนกันแล้ว ในอดีต มนุษย์ยังกินเนื้อดิบๆ ปัจจุบันนี้ ยิ่งพิถีพิถันในเรื่องอาหารการกินยิ่งขึ้น ดังนั้น ในด้านการศึกษาของลูกก็ควรพัฒนาไปพร้อมยุคสมัย
ดังนั้น การศึกษาปฐมวัยมีความสำคัญ แต่อย่าลืมว่า การศึกษาปฐมวัยไม่ได้หมายถึงการเข้าเรียนในสถาบันสำหรับเด็กเล็กแพงๆ การศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงเรียน ที่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นหลัง ไปนั่งเรียนหนังสือในห้องเรียน เพื่อเอาความรู้จากครูบาอาจารย์ เพราะรูปแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมกับเด็กวัย 0- 3 ขวบ
นอกจากนี้ การให้เด็กนับได้ อ่านได้ เป็นเพียงเป็นความได้เปรียบช่วงสั้นๆ ไม่สามารถประกันว่า ในอนาคตที่ยาวไกลข้างหน้า เด็กจะก้าวหน้าเก่งกว่าคนอื่นในทุกวิชา
จุดประสงค์ของการศึกษาปฐมวัยคือ ให้การกระตุ้นที่พอเพียงและเต็มที่แก่เด็ก เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสติปัญญาและสมองของเด็ก
เพราะฉะนั้น สมาชิกครอบครัวจึงมีความสามารถที่จะให้การศึกษาปฐมวัยกับลูกได้อย่างแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องคิดพึ่งพาสถาบันสำหรับเด็กเล็กอย่างเดียว
Yim/kt
