ประเด็นที่ชาวจีนสนใจในช่วงการประชุมสองสภาฯ (1)
  2018-03-08 10:58:06  cri

การประชุมสภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีนชุดที่ 13 เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา และการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนชุดที่ 13 เปิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา

สมาชิกผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนชุดที่ 13 นี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 2,980 คนจากทุกวงการและชนชาติเผ่าต่าง ๆ ของจีน ซึ่งสมาชิกสภาฯ ทั้งหมดนี้ต้องผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนในท้องถิ่นอย่างเข้มงวดและยุติธรรม

โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมครั้งที่ 33 ของคณะกรรมการประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน ชุดที่ 12 ลงมติผ่าน รายงานตรวจสอบคุณสมบัติ สมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนชุดที่ 13 ที่คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติของสมาชิกสภาฯ ของคณะกรรมการประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนชุดที่ 12 ส่งมอบให้ โดยยืนยันว่า สมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนชุดที่ 13 รวม 2,980 คน มีคุณวุฒิที่เหมาะสม และมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ โดยภายหลังการประชุม คณะกรรมการประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนได้มีการแถลงรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนชุดที่ 13 อย่างเป็นทางการ

ก่อนการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนชุดที่ 13 ได้มีการเปิด "เส้นทางสัมภาษณ์ผู้แทนสภาฯ" ทางเหนือของหอประชุม มหาศาลาประชาชนแห่งชาติ มีผู้แทนสภาฯ ต่างๆ รวมถึงนายหม่า ฮั่วเถิง ประธานกรรมการบริหารบริษัทเทนเซ็นต์ นายหัวลุ่ย ผู้เชี่ยวชาญทักษะที่หนึ่งของบริษัท CRRC และจั่ว เซียงหยุน ชาวบ้านที่มาจากเมืองจิ่งกางซาน มณฑลเจียงซีเป็นต้นให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว

สมาชิกเหล่านี้ เป็นตัวแทนของประชาชน ในการประชุมสองสภาครั้งนี้ จะมีการอภิปรายประเด็นต่างๆ ที่ประชาชนให้ความสนใจ และพิจารณานโยบายการแก้ไขปัญหาอย่างตรงประเด็น

เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์ เหรินหมิน ทำการสำรวจ " 10 ประเด็นร้อนการประชุมสองสภาปี 2018" ซึ่งเป็นปัญหาที่ประชาชนจีนสนใจที่สุดสำหรับการประชุมสองสภาปีนี้ มีชาวเน็ตของจีนจำนวน 4,212,368 คน ร่วมทำแบบสำรวจและส่งข้อความแสดงความคิดเห็น ผลปรากฏว่า ปีนี้ ประเด็นร้อน 3 อันดับแรกคือ การปราบปรามคอรัปชั่น การประกันสังคมและการปฏิรูปการศึกษา

1. การต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น ส่งเสริมการเมืองสะอาด

ผู้ตอบแบบสำรวจ ประมาณ 70% สนใจปัญหาการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น เมื่อปี 2017 หน่วยงานตรวจสอบวินัยทั่วประเทศจีนได้รับการแจ้งความ 2,733,000 ราย เป็นคดี 527,000 ราย มีบทลงโทษ 527,000 คน การปฏิรูประบบการตรวจสอบของรัฐ ถือว่าดำเนินไปอย่างรอบด้าน มีการแก้ไขข้อกำหนดเพิ่มเติม 8 ประการของพรรค ในจำนวนนักโทษทุจริตคอรัปชั่นที่หลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ 100 คน ที่ถูกรัฐบาลจีนออกหมายจับนั้น กว่าครึ่งหนึ่งยอมกลับประเทศมอบตัวสารภาพ ทำให้เหตุการณ์ปราบปรามคอรัปชั่นเหล่านี้ ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางภายในประเทศ

ชาวเน็ตของจีนประมาณ 60% เห็นว่า จะต้องตรวจสอบการรายงานตัวของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวด และเพิ่มความเข้มงวดในการเปิดเผยและจัดการคดีการกระทำผิดกฎหมายและระเบียบวินัยของข้าราชการ

ชาวเน็ตชื่อ "อีเหลี่ยวไป๋เหลี่ยว"ส่งข้อความว่า ปัญหาปราบปรามการคอรัปชั่นในฝ่ายบริหารระดับล่างยังคงต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ หวังว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการใหม่กำกับดูแลเจ้าหน้าที่ระดับล่างให้มีประสิทธิภาพ

2.การประกันสังคม

พร้อมๆ กับที่ประเทศจีนเข้าสู่ดุลยภาพใหม่ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่อยๆ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ บทบาทประกันสังคมของจีน โดยเฉพาะการประกันการชราภาพ ก็จะเข้าสู่ระยะพัฒนาใหม่ด้วย เมื่อปี 2017 กองทุนการประกันสังคม 5 รายการของจีน ได้แก่ การประกันภัยผู้สูงอายุ/ การรักษาพยาบาล /การได้รับบาดเจ็บระหว่างการทำงาน/ การคลอดบุตรและการว่างงาน มีเงินทุนเหลือรวมกว่า 7.6 ล้านล้านหยวน คิดเป็นเงินไทย เกือบ 40 ล้านล้านบาท โดยถือว่าเป็นการดำเนินงานที่ค่อนข้างมั่นคง ซึ่งเป็นหลักประกันที่สามารถจ่ายเงินชดเชยทุกรายการอย่างตรงเวลา

ผู้ตอบแบบสำรวจทางอินเตอร์เนตของจีน กว่า 40% เห็นว่า คนสูงอายุที่อยู่ตามลำพัง ขาดการดูแลและหลักประกันของการใช้ชีวิต เห็นว่า ปัญหาสำคัญของการดูแลผู้สูงวัยของจีน คือ "โครงสร้างสำหรับการดูแลผู้สูงอายุไม่เพียงพอ" และ "องค์กรที่ดูแลผู้สูงวัยคิดค่าใช้จ่ายแพงเกินไป และให้บริการไม่เป็นที่พอใจ" และการดูแลผู้สูงอายุที่ไม่มีความสามารถในการดูแลตนเองได้ตามหลักวิชาการก็เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ชาวเน็ต "yueyaodong"ส่งข้อความว่า สำหรับคนที่ทำงานในต่างถิ่นนั้น เนื่องจากเปลี่ยนงานหรือที่ทำงาน ทำให้การใช้ประกันภัยผู้สูงอายุในต่างถิ่นค่อนข้างลำบาก หวังว่าบัตรประกันภัยเอกภาพจะสามารถใช้ได้ทั่วประเทศ

3.ความเท่าเทียมทางการศึกษา

ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการของจีนได้ประกาศและปฏิบัติใช้นโยบายหลายประการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ทั้งรัฐบาลส่วนกลาง สังคมและประชาชนสนใจกัน โดยเฉพาะการปฏิรูประบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือไม่ใช่รับนักศึกษาตามคะแนนสอบแต่อย่างเดียว แต่ใช้ระบบ " 2 หลักฐาน 1 อ้างอิง" คือดูคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยและคะแนนสอบการจบมัธยมตอนปลายเป็นหลักฐาน 2 ประการ และการประเมินคุณภาพรวมในมัธยมตอนปลายเป็นข้อมูลอ้างอิง และการสอบมหาวิทยาลัยในปี 2017 ไม่แบ่งสาขาอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์อีกแล้ว โดยจะรวมคะแนน 2 ส่วนคือคะแนนการสอบ 3 วิชาหลักได้แก่ภาษาจีน คณิตศาสตร์และภาษาต่างประเทศ สำหรับภาษาอังกฤษ จะเปิดโอกาสให้สอบ 2 ครั้ง อีกส่วนหนึ่งคือ คะแนนการสอบ 14 วิชาของมัธยมตอนปลาย ได้แก่การเมือง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เคมีและชีววิทยา เป็นต้น แต่ละวิชาเรียนจบก็สอบ นักเรียนสามารถเลือกคะแนนสูงสุด 3 วิชามารวมในคะแนนสอบมหาวิทยาลัย

ชาวเน็ต "ซินอี้ 66120354" ส่งข้อความมาว่า การปฏิรูประบบการสอบดังกล่าว ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองนอกจากสนใจการเรียนการสอบของลูกแล้ว ยังต้องให้ความสนใจในการพัฒนาความสนใจของลูกด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อการจัดสรรทรัพยากรการศึกษาให้สมดุลอย่างมากขึ้น

Bo/LR

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
ตอบคำถามออนไลน์
ทบทวนรายการน่าสนใจ
ภาพยอดฮิต
เว็บไซต์ึเพื่อนซีอาร์ไอ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Play Stop
© China Radio International.CRI. All Rights Reserved.
16A Shijingshan Road, Beijing, China. 100040