2020-09-04 17:45ไชน่ามีเดียกรุ๊ป
พอถึงช่วงเปิดเทอม โรงเรียนต่างๆ จะเต็มไปด้วยความสดใสคึกคักเป็นพิเศษ “เยาวชนจีนต้องยืนหยัดอุดมคติ ฝึกฝนความมีคุณธรรมที่สูงส่ง ให้มีทักษะความสามารถที่ยอดเยี่ยม กล้าคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ไม่กลัวความยากลำบาก ร่วมก้าวไปพร้อมกับมวลชน มุ่งมั่นต่อสู้เพื่อสร้างท่วงทำนองแห่งเยาวชนยุคใหม่” การเติบโตจากที่ราบสูงหุบเหวทางเหนือของมณฑลส่านซี ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงรู้ดีถึงความปรารถนาของเยาวชน และให้ความสนใจพิเศษกับการเติบโตของเหล่าอนาคตชาติ
เยาวชนเห็นว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นตัวอย่างที่ดีในการใฝ่หาความรู้และเป็นอาจารย์ที่ช่วยชี้นำชีวิต ประสบการณ์การเติบโตส่วนตัวของท่าน นำมาซึ่งพลังขับเคลื่อนที่ไม่มีที่สิ้นสุดต่อการเรียนรู้ของพวกเรา
กล้าเผชิญความยากลำบาก ยิ่งเจออุปสรรคยิ่งสู้
เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1969 จีนอยู่ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม สถานีรถไฟกรุงปักกิ่งเต็มไปด้วยผู้คน รวมถึงเยาวชนที่ถูกส่งไปทำงานในชนบท คนมาส่ง ตำรวจ ทหารและเจ้าหน้าที่ประจำสถานี นั่งรถไฟหนึ่งวันหนึ่งคืน ต่อรถบรรทุกที่วิ่งไปบนถนนดินเป็นหลุมเป็นบ่อ และเดินเท้าอีก 5 กิโลเมตร จึงจะถึงพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารอันเป็นเป้าหมาย
พอถึงหมู่บ้าน ปัญญาชนบางคนกล่าวว่า รู้สึกผิดหวังมาก และไม่สามารถเชื่อมโยงสภาพที่เห็นในปัจจุบันกับอนาคตของตัวเอง พอถึงหมู่บ้าน นายสี จิ้นผิงก็รู้สึกงงงวยเช่นกันว่า เดินทางจากกรุงปักกิ่งมาถึงบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย บวกกับสายตาที่ไม่ไว้วางใจ ทำให้เขาที่มีอายุ 15 ปีในขณะนั้นรู้สึกโดดเดี่ยวในตอนแรก
'ค.ศ. 1972 สี จิ้นผิง กลับเยี่ยมครอบครัวในกรุงปักกิ่ง'
เขาถูกส่งไปทำงานที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ สี จิ้นผิงเล่าว่า พอถึงหมู่บ้าน สิ่งที่เขาทนไม่ได้ที่สุดก็คือ ตัวหมัด เขากล่าวว่า ยังจำความเจ็บปวดนั้นไม่ลืม เพราะพอถูกหมัดกัดก็เป็นตุ่มสีแดง หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นแผลพุพอง ซึ่งเจ็บปวดมาก เยาวชนที่ไปด้วยกันเสริมว่า กินก็ไม่อิ่ม แล้วยังมีงานทำไร่ที่ไม่คุ้นเคยอีกนับไม่ถ้วนนอกจากนี้ คุณพ่อยังอยู่ในการควบคุม ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เหมือนมีเมฆดำปกคลุมอยู่ตลอด ความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก สถานการณ์ที่เลวร้าย และสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง สำหรับเยาวชนที่มีอายุเพียง 10 กว่าปีนั้น พอจินตนาการได้ถึงแรงกดดันที่เขาต้องแบกรับ
ในตอนแรก นายสี จิ้นผิงก็ไม่สามารถปรับสภาพจิตใจได้เช่นกัน เยาวชนรุ่นที่มาด้วยกันไปทำงานในภูเขาทุกวัน แต่เขากลับไม่สนใจ ชาวบ้านต่างรู้สึกไม่ดีกับเขา หลังจากลังเลและสับสนเป็นเวลาหนึ่ง คุณลุงและป้าที่เคยเข้าร่วมการปฏิวัติกล่าวกับสี จิ้นผิง คำพูดไม่กี่คำนี้กลับมีอิทธิพลมากต่อเขา คุณลุงกและป้ากล่าวว่า ตอนนั้นพวกเราพยายามวิ่งเข้าหามวลชน เธอตอนนี้ไม่อาศัยมวลชนจะอาศัยใคร ต้องอาศัยมวลชนแน่นอน คำพูดนี้ทำให้สี จิ้นผิง ที่งงงวยในตอนแรกได้กระจ่างแจ้ง ตั้งแต่นั้นมา สี จิ้นผิงก็ทำงานอย่างจริงจังและหนักหน่วงตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะมีลมฝนแรงแค่ไหน ก็คอยทำความสะอาดตัดหญ้าบ้านถ้ำที่พักและในเรือนเลี้ยงสัตว์ เรียนรู้การทำเกษตรอย่างขยันขันแข็ง หลังจากนั้นไม่นาน นายสี จิ้นผิงก็ผ่านความยากลำบากต่างๆ โดยไม่กลัวหมัดกัด และกินทุกอย่างได้ ดูแลตัวเองเป็น และเป็นแรงงานที่แข็งแรงที่สุด
'นายสี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ (แถวหลังสุดคนที่ 3 จากขวา) ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับเยาวชนในท้องถิ่นและที่มาด้วยกันจากกรุงปักกิ่ง เมื่อ ค.ศ. 1975'
และเพื่อไขว้คว้าศรัทธาแห่งชีวิต นายสี จิ้นผิง ก็ไม่เคยย่อท้อสี จิ้นผิงเคยยื่นใบสมัครถึง 8 ครั้ง เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีน และเคยยื่นใบสมัคร 10 ครั้ง เพื่อเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้นผิงหวนคิดว่า ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกเศร้าโศกหรือน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะมีแรงหนุนจากความเชื่อศรัทธาในลัทธิคอมมิวนิสต์จีนอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ และคุณธรรมอันล้ำค่าที่ไม่ท้อต่อความยากลำบาก ทำให้ยิ่งล้มเหลวยิ่งมีความมั่นใจและกล้าหาญ
นอกจากนี้ นายสี จิ้นผิงยังยืนหยัดการเรียนรู้นอกเวลาทำไร่ที่เหนื่อยหนักเพื่อใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เขาทำงานในไร่ตอนกลางวัน และอ่านหนังสือเวลาพัก ทั้งขณะต้อนแกะบนที่ราบสูง และอ่านหนังสือจนดึกภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันก๊าดตอนกลางคืน
ความแพ้พ่ายไม่อาจบั่นทอนความมุ่งมั่น การไม่ย่อท้อจะนำสู่การบรรลุนายไต้ หมิง เยาวชนที่มาจากปักกิ่งและเคยพักในบ้านถ้ำด้วยกันกล่าวว่า สี จิ้นผิงเป็นคนที่มีบุคลิกที่แข็งแกร่ง ทนแรงกดดันสูง เมื่อประสบปัญหาไม่เคยบ่น
สี จิ้นผิงเห็นว่า ความยากลำบากสามารถขัดเกลาคนได้ ชีวิตที่ยากลำบากในชนบทเป็นเวลา 7 ปีนั้น ได้สอนเขามากมาย หลังจากนั้น ไม่ว่าพบปัญหาความยากลำบากแค่ไหน ก็หวนคิดว่าภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากนั้น ก็ยังสามารถทำงานได้อย่างไม่ย่อท้อ ตอนนี้มีเหตุผลอะไรที่จะทำไม่ได้ ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหนก็ไม่ลำบากไปกว่าช่วงนั้นได้
หลังผ่านไปหลายสิบปี นายสี จิ้นผิงได้กล่าวกับเยาวชนทั้งหลายว่า ระหว่างการเติบโตและต่อสู้ จะมีทั้งความสำเร็จดีใจ และต้องเจอกับความยากลำบากและแรงกดดันต่างๆด้วย ดังนั้น ต้องจัดการกับความสำเร็จหรือล้มเหลวชั่วคราวนี้อย่างถูกต้อง เมื่อชนะก็ไม่หลงระเริง เมื่อแพ้พ่ายก็ไม่สูญเสียความทะเยอทะยาน ให้ความเจริญรุ่งเรืองและความทุกข์ยากเป็นสมบัติ ไม่ใช่ภาระของชีวิต คำพูดจากใจนี้มาจากความรู้ความเข้าใจ และยิ่งมาจากประสบการณ์ชีวิตที่พบเจอ
แสวงหาหนทางแก้ไขและคิดสร้างสรรค์อย่างกล้าหาญ
ย้อนกลับไปในอดีต เวลาเช้าตรู่วันหนึ่ง ท่ามกลางฤดูหนาว ค.ศ.1984 รถไฟขนส่งวัวนมขบวนหนึ่ง จอดเทียบสถานีรถไฟอำเภอเจิ้งติ้ง เมืองสือเจียจวง มณฑลเหอเป่ย รูปร่างวัวนมที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ ทำให้ผู้คนที่มารับวัวนมตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว
นายสี จิ้นผิงเล่าถึงความหลังว่า “ เวลานั้น อำเภอเจิ้งติงพัฒนาแต่การเกษตรอย่างเดียว และผมสังเกตว่า อำเภอเจิ้งติ้งอยู่ใกล้กับเมืองสือเจียจวง ซึ่งเป็นเมืองเอกมณฑลเหอเป่ย ดังนั้น ผมได้เสนอให้ดำเนินธุรกิจหลากหลาย พัฒนาเศรษฐกิจแบบ ‘กึ่งเมืองกึ่งชานเมือง’ …… จึงเริ่มดำเนินการเลี้ยงวัวนมเวลานั้น ” วัวนมชุดแรกดังกล่าวนี้ ได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเลี้ยงวัวของท้องถิ่นให้พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็น “การค้ารายใหญ่” รายแรกที่อำเภอเจิ้งติ้งมีต่อต่างจังหวัด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากจะลืมของชาวบ้านอำเภอเจิ้งติ้ง ในเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของนายสี จิ้นผิง อำเภอแห่งนี้ ได้เปิดประตูที่ปิดล้อม เปลี่ยนความคิดดั้งเดิม เข้าสู่หนทางการพัฒนาไปยังทุกทิศทาง
'นายสี จิ้นผิง ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้ง พูดคุยกับชาวบ้านของหมู่บ้านเจ้าชุน'
ในช่วงทศวรรษ 1980 นายสี จิ้นผิงจากกรุงปักกิ่งเดินทางไปยังอำเภอเจิ้งติ้ง ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้ง และเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้งตามลำดับ
นายสี จิ้นผิงมีนิสัยถ่อมตัว ใกล้ชิดกับประชาชน แต่เมื่อทำงานกลับมีท่าทีห้าวหาญเด็ดขาดอยู่เสมอ แนวคิดการจัดสรรที่เท่าเทียมกันในเวลานั้น ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ นายสี จิ้นผิงได้ทุ่มเทกำลังในการปฏิรูปชนบท โดยเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1983 อำเภอเจิ้งติ้งได้บุกเบิกแนวทางใหม่ เริ่มดำเนินระบบครัวเรือนรับเหมา เวลาเพียง 2-3 ปีเท่านั้น ยอดรายได้การเกษตรของทั้งอำเภอเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า และเวลานั้น นายสี จิ้นผิง อายุเพียง 30 ปีกว่า ๆ
“บรรดาเยาวชนทั้งหลายต้องมีความกล้าหาญ หากไม่รู้ก็ไปเรียน หากทำไม่เป็นก็ไปฝึก หากพบกับอุปสรรค ก็พยายามแก้ไข” นี่เป็นความคาดหวังของนายสี จิ้นผิง ที่มีต่อกลุ่มเยาวชน ซึ่งชีวิตช่วงเด็กของสี จิ้นผิง เขาได้ยึดหลักปฏิบัตินี้มาตลอด
เมื่อ ค.ศ. 1986 นายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งกรรมการประจำคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองเซี่ยเหมิน รองนายกเทศมนตรีเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน มีอยู่วันหนึ่ง นายกง เจี๋ย ผู้รับผิดชอบพิพิธภัณฑ์เมืองเซี่ยเหมินในสมัยนั้น เชิญชวนนายสี จิ้นผิงไปดูงานตึกแปดทิศ ซึ่งเป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งของเมืองเซี่ยเหมิน แต่เนื่องด้วยขาดแคลนทุนทรัพย์ ตึกแปดเหลี่ยมจึงไม่ได้รับการบูรณะซ่อมแซม
เมื่อนายสี จิ้นผิง เข้าถึงข้างในตึก เห็นสภาพที่เก่าและทรุดโทรม จึงถามนายหง เจี๋ยว่า ต้องการงบเท่าไหร่สำหรับงานบูรณะซ่อมแซม ได้คำตอบว่าต้องการเงินทุน 300,000 หยวน นายสี จิ้นผิงเร่งจัดการงบก้อนนี้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเวลาผ่านไปกว่า 30 ปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นายกงเจี๋ยเล่าถึงเรื่องนี้ ก็ยังตื่นเต้นและซาบซึ้งมาก เขากล่าวว่า “ในช่วงที่ขาดแคลนเงินทุนและยากลำบากที่สุด งบ 300,000 หยวน ที่นายสี จิ้นผิงจัดสรรให้ก้อนนี้ ได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของตึกเก่านับร้อยปีนี้ได้อย่างสิ้นเชิง มิเช่นนั้น ตึกแปดเหลี่ยมนี้อาจพังถล่มไปแล้ว”
'นายสี จิ้นผิง ไปดูงานต่างประเทศ ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน'
นายหวัง จินสุ่ย อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองเซี่ยเหมิน หวนเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ของนายสี จิ้นผิง สมัยปฏิบัติหน้าที่ในเมืองเซี่ยเหมินว่า “นายสีทำงานอย่างจริงจัง ให้ความสำคัญต่อการสำรวจและวิจัย รับฟังเสียงจากเจ้าหน้าที่ชั้นล่างและชาวบ้านทั่วไปอยู่เสมอ เมื่อพบปัญหาก็จะรีบจัดการอย่างจริงจัง ไม่ให้เสียเวลาผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ”
สมัยที่นายสี จิ้นผิงปฏิบัติหน้าที่ในเมืองเซี่ยเหมิน มีอยู่ปีหนึ่ง เมืองเซี่ยเหมินเกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ ต้นข้าวเหี่ยวแห้งไปหมด นายสี จิ้นผิงไปสำรวจสถานการณ์ภัยแล้งที่นาข้าวและออกคำสั่งทันทีว่า “คอยไม่ได้แล้ว ต้องรีบจัดส่งรถแทรกเตอร์ ปั๊มน้ำไฟฟ้า น้ำมันดีเซล และปุ๋ยอย่างเร่งด่วน” และเร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยงข้องรีบลงมือปฎิบัติ ต่อมา นายสีได้นำทีมไปแนวหน้างานต้านภัยแล้ง เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ทันเวลา
การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและรับมือกับปัญหาอย่างจริงจังของนายสี จิ้นผิง ทำให้ปีนั้น ชาวนาเมืองเซี่ยเหมินไม่ได้รับความเสียหายจากภัยแล้งครั้งใหญ่ รายได้ต่อหัวเมื่อเฉลี่ยแล้วกลับมีเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ชาวบ้านท้องถิ่นต่างชื่นชมว่า “รองนายกเทศมนตรีสีมีความรับผิดชอบ ให้ความสำคัญต่อผลประโยชน์ประชาชน”
“บรรดาเยาวชนต้องจำไว้ว่า ‘มีแต่พูดจะทำให้ประเทศชาติเสีย ต้องลงมือทำถึงจะนำความเจริญให้ประเทศชาติได้’ เยาวชนต้องขยันทำงาน ปฏิบัติตัวให้ดี ตั้งใจทำงานตั้งแต่เรื่องเล็กเรื่องน้อย ใช้ความพยายามตั้งใจและความสามารถที่ดีเด่น เพื่อบรรลุซึ่งผลสำเร็จของตน ” การปฏิบัติตนของนายสี จิ้นผิง เป็นคำบรรยายที่ดีที่สุดต่อประโยคดังกล่าวอันเต็มไปด้วยความคาดหวังที่มีต่อบรรดาเยาวชน
นายสี จิ้นผิงได้ฟันฝ่าอุปสรรคอย่างกล้าหาญ มุ่มมั่นบุกเบิกเพื่อก้าวหน้า ยึดมั่นในการงานของตัวเองและกล้าที่จะรับผิดชอบ ได้สร้างแบบฉบับที่ดีต่อกลุ่มเยาวชนทั้งหลาย
(Yim/kt/Zi)