วันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยถงจี้ นครเซี่ยงไฮ้ เริ่มการลงทะเบียนกลับสู่รั้วสถาบันของนักศึกษาใหม่ระดับบัณฑิตศึกษา ตอนเช้า “เผิง เชา” เดินทางถึงมหาวิทยาลัย เขาสะพายกระเป๋าเล็กๆ ในชุดเสื้อแขนสั้นสีขาว เนื่องจากตัวสูงผอมและแขนเสื้อที่ว่างเปล่า จึงเป็นที่สะดุดตา
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี ตอนเดือนมีนาคม “เผิง เชา” หนุ่มแขนขาดจากมณฑลซื่อชวน(เสฉวน)เขียนข้อสอบด้วยเท้า ในการสอบเข้าเรียนต่อระดับบัณฑิตศึกษาคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยถงจี้ จึงได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างมาก
เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ขั้นตอนการลงทะเบียนเรียนนักศึกษาใหม่ปีนี้จึงค่อนข้างจะซับซ้อน โดยนักศึกษาทุกคนต่างต้องไปตรวจเชื้อโควิดก่อนที่หอกีฬา เผิง เชา นั่งบนเก้าอี้ในห้องตรวจ ดึงหน้ากากลงมาด้วยเท้า พอตรวจเสร็จ ก็สวมหน้ากากกลับให้เรียบร้อยด้วยเท้าอีกครั้ง
นครเซี่ยงไฮ้เป็นสถานที่แปลกหน้าสำหรับเผิง เชา พ่อแม่จึงเป็นห่วงเขาบ้าง ดังนั้น คืนก่อนการลงทะเบียน พ่อแม่จึงเดินทางมาเซี่ยงไฮ้เป็นเพื่อนเขาด้วย และวันที่ไปมหาวิทยาลัยก็ตามดูลูกอยู่ห่างๆ โดยพยายามให้เขาจัดการเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของเผิง เชาอยู่แล้ว เพราะเขาตระหนักอยู่เสมอว่า ยังไงเขาก็ต้องแยกจากอกพ่อแม่ไปอยู่คนเดียวในสักวันหนึ่ง
ย้อนกลับไปเมื่อตอนเผิง เชา อายุ 6 ขวบ เขาต้องสูญเสียแขนทั้งสองข้างไปเนื่องด้วยอุบัติเหตุจากไฟฟ้า เขาจึงเริ่มฝึกดูแลตัวเอง ฝึกเขียนหนังสือด้วยเท้า และสามารถสอบเอนทรานซ์เข้าคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยซื่อชวนด้วยคะแนนสูง ระหว่างเรียน คุณพ่อของเผิง เชาทำงานในมหาวิทยาลัยและอาศัยอยู่ที่หอพักพนักงาน เผิง เชา ก็จะไปกินข้าวกับพ่อทุกสุดสัปดาห์ แต่ในใจเขาคิดที่จะพึ่งพาตนเองให้มากที่สุดอยู่เสมอ
นางเหวิน คุณแม่ของเผิง เชา เล่าทบทวนเรื่องสมัยเด็กของลูกว่า เมื่อยังเล็ก เผิง เชา มักจะงอแงท้อแท้ใจเหมือนกัน เธอกับสามีจะคอยปลอบใจลูก เล่าเรื่องคนพิการดีเด่นให้ลูกฟังบ่อยๆ เผิง เชา เป็นเด็กที่รับฟังและเข้าใจดี
ดังนั้น พออายุประมาณ 8-9 ขวบ เผิง เชา ค่อยๆดูแลตัวเองได้มากขึ้นแล้ว ถ้าพ่อแม่คอยอยู่เป็นเพื่อนเสมอ เขามักจะรู้สึกไม่สะดวกด้วยซ้ำ เขาหวังว่าพ่อแม่จะปล่อยให้เขาได้ทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่า
นางเหวินบอกว่า “พวกเราคอยแนะนำเขาเสมอว่า ต้องรู้จักรักษาสมดุลจิตใจ มองบวก มีความสุขในทุกวัน ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง” ซึ่งเรื่องที่นางเหวินคาดคิดไม่ถึงคือ ลูกชายของตนสามารถสอบเข้าเรียนต่อระดับบัณฑิตศึกษาได้ ดังนั้น เธอเชื่อว่าในอนาคต เผิง เชาจะมีชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่หวังให้ลูกใจร้อนกดดันตนเองมากไป
เผิง เชา อธิบายเหตุผลที่เลือกเรียนกฎหมายว่า “ผมคิดว่าผมเหมาะกับเรียนวิชานี้อย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นทนายความหรือผู้พิพากษาต่างไม่จำเป็นต้องใช้มือ เรื่องที่ต้องทำก็คือ เรียนให้เก่งให้มีความรู้มากๆ และทำงานให้ดีด้วยการพูด”
ต่อไป ชีวิตบัณฑิตศึกษาเวลา 3 ปีของเผิง เชา กำลังจะเริ่มต้น เขาปรารถนาที่จะได้ไปนั่งเรียนในคลาสอย่างมาก เขาถือการเรียนหนังสือเป็นหน้าที่สำคัญอันดับแรก เขาบอกว่า “ต้องพยายามยกระดับความรู้ด้านกฎหมายของตนให้สูงพอให้ได้”
Yim/Ldan/Chu