'สี จิ้นผิง' แกนนำที่ทุกคนเลื่อมใสและไว้วางใจ ตอนที่ 1

2021-11-19 08:07:45 | CMG
Share with:

ค.ศ. 2021 เป็นปีที่ 9 ที่นายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรครัฐบาลใหญ่ที่สุดในโลกก็เข้าสู่การฉลองวันเกิดครบรอบ 100 ปี มีพรรคการเมืองเพียงไม่กี่พรรคในโลกที่ก่อตั้งขึ้นเป็นเวลานานและเป็นพรรครัฐบาลนานเช่นนี้ ก่อนที่นายสี จิ้นผิงจะได้รับเลือกเป็นเลขาธิการฯ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีกลุ่มผู้นำรัฐบาลกลางหลายคน โดยมีเหมา เจ๋อตง เติ้ง เสี่ยวผิง เจียง เจ๋อหมิน และหู จิ่นเทาเป็นตัวแทนหลัก

สี จิ้นผิง นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าสู่ยุคใหม่และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาหนึ่งร้อยปีแรก ซึ่งก็คือการสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้าน หรือ "เสี่ยวคัง" ในทุกด้านและเริ่มดำเนินการตามหลักการการพัฒนาความทันสมัยในยุคใหม่อย่างเต็มพลัง พยายามย่างเข้าสู่เป้าหมาย 100 ปีระยะที่สองเพื่อฟื้นฟูประชาชาติจีน

สี จิ้นผิงเป็นแกนนำสำคัญในการควบคุมแนวโน้มทางประวัติศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย เขานำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญท่ามกลางโอกาสและความท้าทายอย่างไร เขาจะนำจีนกลับสู่ศูนย์กลางของเวทีโลกได้อย่างไร และจะมีผลกระทบอย่างไร ประเด็นเหล่านี้ได้รับความสนใจเช่นเดียวกับเมื่อครั้งแรกที่เขากลายเป็น เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว

ขณะสื่อจีนและต่างประเทศรายงานถึงนายสี จิ้นผิง มักจะระบุว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และมีการปฏิบัติที่กล้าหาญเด็ดขาด เป็นคนที่มีความคิดและความรักลึกซึ้ง เป็นคนที่สามารถสืบทอดมรดกและกล้าสร้างนวัตกรรม เป็นคนที่มองในภาพรวมอย่างถูกต้องและคล่องตัวในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เป็นคนที่ไขว่คว้าต่อสู้ตลอดและบังคับตนเองได้อย่างดี ตลอดจนเป็นคนที่ถ่อมตัวแต่ไม่กลัวความยากลำบาก

'สี จิ้นผิง' แกนนำที่ทุกคนเลื่อมใสและไว้วางใจ ตอนที่ 1

เลขาธิการพรรคฯ ที่ "รักประชาชนเหมือนพ่อแม่"

เดือนกันยายน ค.ศ. 2021 สี จิ้นผิงไปดูงานที่หมู่บ้านกาวซีโกว มณฑลส่านซี ระหว่างการเดินทางเขาลงจากรถเป็นการชั่วคราวและเดินเข้าไปในทุ่งเพื่อดูการเจริญเติบโตของข้าวฟ่างและข้าวโพดพร้อมพูดคุยกับชาวบ้านที่กำลังทำนาอยู่ หมู่บ้านกาวซีโกวเคยเป็นหมู่บ้านยากจนแต่ตอนนี้พื้นที่รกร้างนี้ได้เปลี่ยนเป็น "เจียงหนานเล็กภาคเหนือ" และชาวนาก็ร่ำรวยขึ้นแล้ว ที่นี่เป็นตัวอย่างที่ดีว่าหมู่บ้านจีนในเขตชนบทหลายพันแห่งได้เปลี่ยนโฉมหน้าจากเก่าเป็นใหม่ผ่านการปฏิรูปและเปิดสู่ภายนอก

อันที่จริง นายสี จิ้นผิงเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนในหมู่บ้านหนึ่งห่างจากหมู่บ้านกาวซีโกวประมาณ 150 กิโลเมตร เขาใช้เวลา 38 ปีจากนั้นเติบโตเป็นเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ค.ศ. 1969 เขามีอายุประมาณ 16 ปี ต้องไปเรียนรู้จากชนบทที่หมู่บ้านเหลียงเจียงเหอ มณฑลส่านซี สี จิ้นผิงเคยเล่าถึงเวลาช่วงนั้นว่า เขาอาศัยอยู่ในถ้ำดินร่วมกับชาวบ้าน กินข้าวธัญพืช ส่วนการพักผ่อนคล้ายกับนอนกลางกองหมัด ชีวิตชาวนาลำบากมาก ความปรารถนาของเขา คือ "ให้ชาวบ้านมีเนื้อกินให้อิ่ม"

สี จิ้นผิงเข้าเป็นสมาชิกพรรคฯ ใน ค.ศ. 1974 และในไม่ช้าก็ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการสาขาพรรคฯ ของหมู่บ้านเหลียงเจียงเหอ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เคยร่วมงานกับเขากล่าวว่า "ความก้าวหน้า" ของสี จิ้นผิง เป็นเพราะเขา "ทำงานหนัก กล้าคิด และสามารถรวมประชาชนและเจ้าหน้าที่ให้อยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีได้"

เลขาธิการฯ สี จิ้นผิงนำชาวบ้านขุดบ่อน้ำ ซ่อมแซมเขื่อน สร้างนาขั้นบันได และสร้างบ่อก๊าซชีวภาพ หนึ่งปีต่อมาสถานการณ์ของชาวบ้านที่อพยพเพราะความยากจนก็ไม่มีอีกแล้ว

กล่าวได้ว่าสี จิ้นผิงเกิดในครอบครัวสีแดง พ่อของเขา สี จ้งซวิน เป็นสมาชิกกลุ่มผู้นำรุ่นแรกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้นผิงยังจำคำสอนและการปฏิบัติของบิดา เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตขึ้นในวัยหนุ่ม

เขากล่าวว่า “ตอนที่ผมเรียนอยู่มัธยมต้น หนังสือตำราเรียนรัฐศาสตร์ที่ผมเรียนเคยมีบทความหนึ่งในหัวข้อ 'เป็นผู้สืบทอดการปฏิวัติ' และสอนให้เราต้อง ' รักการผลิตและการทำงาน ทำงานอย่างหนัก ใช้สองมือของเราเองสร้างประเทศสังคมนิยมที่เจริญและยิ่งใหญ่' เสนอให้เราต้อง ' มีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้สืบทอดจิตใจปฏิวัติ' ”

ช่วงวัยหนุ่มที่เขาไปฝึกภาคปฏิบัติในชนบท สี จิ้นผิงเคยเขียนหนังสือขอเป็นสมาชิกพรรคฯ สิบครั้ง เขาเคยอ่านหนังสือ “ว่าด้วยทุน” สามรอบในถ้ำดินด้วยโคมไฟน้ำมันก๊าดและจดบันทึกการอ่านหนังสือ 8 แล่ม

หลังลาจากเลขาธิการพรรคฯ หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ เขาก็กลับไปกรุงปักกิ่งเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาทำงานในสำนักงานกิจการทั่วไปของคณะกรรมาธิการการทหารของคณะกรรมการกลางฯ แล้วไปเป็นรองเลขาธิการและเลขาธิการของคณะกรรมการพรรคฯ ประจำอำเภอเจิ้งติ้ง มณฑลเหอเป่ยตามลำดับ

'สี จิ้นผิง' แกนนำที่ทุกคนเลื่อมใสและไว้วางใจ ตอนที่ 1

เมื่อหวนคิดถึงประสบการณ์ช่วงนั้น เขากล่าวว่า “ค.ศ. 1982 ผมขอรัฐบาลกลางให้ส่งไปทำงานในเมืองต่าง ๆ นอกกรุง ไปทำงานท่ามกลางประชาชนอีกครั้ง ผมบอกว่าควรรักประชาชนเหมือนรักพ่อแม่” เขายังกล่าวว่า ความรู้สึกที่ลืมไม่ได้ คือ ผู้สนับสนุนยิ่งใหญ่ที่สุดในยามยากลำบากนั้นก็คือประชาชน หนึ่งคือประชาชนไม่หลงเชื่อผู้อื่นและให้ความช่วยเหลือเมื่อคุณต้องการมากที่สุด สองคือเสนอให้คุณมีความสามารถมีความรู้ สามคือมีความเด็ดเดี่ยวและต้องอดทนกับความทุกข์ยากต่าง ๆ

หลังจากนั้นเขาดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีเมืองเชี่ยเหมินในมณฑลฝูเจี้ยน และเป็นเลขาธิการพรรคฯ ประจำเขตหนิงเต๋อ ซึ่งเป็นพื้นที่ยากจนของมณฑลนี้ แล้วทำหน้าที่เป็นเลขาธิการพรรคฯ ประจำเมืองฝูโจว ผู้ว่ามณฑลฝูเจี้ยน จากนั้นเขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเจ้อเจียงเกือบ 5 ปี หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปเป็นเลขาธิการพรรคฯ นครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเมืองทันสมัยที่สุดในประเทศจีน

ไม่ว่าอยู่ในตำแหน่งใด สี จิ้นผิงชอบใกล้ชิดและอยู่ด้วยกันกับประชาชนตลอด เขาได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่หมู่บ้านว่าจะขายสุราพื้นบ้านอย่างไรเพื่อเพิ่มรายได้แก่ชาวนา เขาช่วยขายของออนไลน์ ยืนตากฝนถ่ายรูปกับกรรมกร เขาไปที่ซอยหูถงเพื่ออวยพรปีใหม่แก่พนักงานส่งพัสดุด่วน ตลอดจนเป็นห่วงปัญหาการคัดแยกขยะในเขตชุมชน ทั้งยังเสนอแนะให้ลดอัตราสายตาสั้นในหมู่นักเรียนชั้นประถมและมัธยม เป็นต้น

ค.ศ. 2007 สี จิ้นผิงกลับถึงกรุงปักกิ่ง เขารับตำแหน่งสมาชิกประจำของกรมการเมืองคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรองประธานประเทศ รับผิดชอบงานด้านการบริหารสาขาพรรค บริหารการจัดการและกิจการฮ่องกง มาเก๊า รวมทั้งเตรียมจัดงานโอลิมปิกปักกิ่ง เป็นต้น

ค.ศ. 2012 ในที่ประชุมเต็มคณะ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 18 ครั้งที่ 1 นายสี จิ้นผิง วัย 59 ปี ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน

'สี จิ้นผิง' แกนนำที่ทุกคนเลื่อมใสและไว้วางใจ ตอนที่ 1

หลังดำรงตำแหน่งเลขาธิการฯ เป็นเวลากว่า 1 เดือน เขาไปดูงานที่อำเภอฟู่ผิง ที่อยู่ใกล้ภูเขาไท่หาง ท่ามกลางอากาศหนาวจัดติดลบ 10 องศาเซลเซียส โดยมีระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ซึ่งพื้นที่นี้เป็นเขตยากจน เขาไปเยี่ยมประชาชนถึงที่บ้าน นั่งบนเตียงดินเผาที่ให้ความอุ่น จับมือชาวบ้าน ถามชาวบ้านว่าการใช้ชีวิตดีเปล่า ขณะนั้นเขาบอกว่า ยังเห็นชาวบ้านบางคนยังใช้ชีวิตอย่างลำบากมาก รู้สึก “หนักใจมาก”

สี จิ้นผิงมักกล่าวว่า การรับใช้ประชาชนนั้นต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นจิตใจดั้งเดิมของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และเราต้องรักษาคุณภาพนี้ไว้

เขามักจะเป็นคนแรกที่ปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อไปทำงานที่หนิงเต๋อ สี จิ้นผิงกินข้าวและเข้าแถวที่โรงอาหารเหมือนทุกคน เมื่อสมาชิกครอบครัวของเขามาหา เขาจึงจะทำอาหารที่บ้าน เมื่อเผิง ลี่หยวน ภรรยาของเขามาเยี่ยมที่หนิงเต๋อ เขาจะไปจ่ายตลาดเอง ไม่เคยใช้รถราชการไปรับเผิง ลี่หยวนสักครั้ง

เขาไม่ปล่อยเรื่องเจ้าหน้าที่ทำลายผลประโยชน์ประชาชนและเกลียดคนชั่วร้าย เมื่อเขาเป็นเลขาธิการพรรคฯ ประจำอำเภอหนิงเต๋อ เขาไปตรวจสอบการยึดที่ดินชาวบ้านของข้าราชการเพื่อสร้างบ้านส่วนตัว หนิงเต๋อเป็นพื้นที่ยากจน เจ้าหน้าที่ที่ละเมิดกฎหมายและยึดที่ดินชาวบ้านไปสร้างบ้านส่วนตัวกลายเป็นกระแส ถ้าจะไปเคลียร์บ้านแบบนี้ให้หมดต้องขัดใจคนพวกนี้ สี จิ้นผิง กล่าวว่า “เรื่องนี้มีปัญหาที่ใครขัดใจใคร ถ้าคุณผิดกฎหมายเอาที่ดินชาวบ้านไปสร้างบ้านตัวเอง ทำลายอำนาจและภาพลักษณ์ของพรรคฯ เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ตัวคุณเป็นคนที่ทำผิดต่อพรรคฯ และประชาชน ผิดระเบียบวินัยพรรคและกฎหมายประเทศ หาใช่ว่าเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบเรื่องนี้ขัดใจคุณ”

Tim/Lei/LYJ

  • เสียงข่าวประจำวัน (16-11-2567)

  • เสียงข่าวประจำวัน (15-11-2567)

  • สานสัมพันธ์ไทย-จีน (15-11-2567)

  • เสียงคุยกันวันละประเด็น (15-11-2567)

  • เสียงข่าวประจำวัน (14-11-2567)

陆永江