เย่ว์จี้ （Rosa chinensis） เหมยกุย （Rosa rugosa）และเฉียงเวย（Rosa multiflora）ต่างอยู่ในวง Rosa ซึ่งภาษาอังกฤษล้วนเรียกว่า Rose
กุหลาบเป็นดอกไม้มีต้นกำเนิดจากทวีปเอเชีย เป็นดอกไม้ที่ทั่วโลกนิยมปลูกมากที่สุดชนิดหนึ่ง ทั้งปลูกเพื่อความสวยงาม ตกแต่งสวน ตกแต่งบ้าน ประดับสถานที่ ปลูกเพื่อการพาณิชย์ อาทิ เพื่อนำไปสกัดน้ำหอม นำไปเป็นส่วนประกอบของสปา สำหรับกุหลาบชนิดที่รับประทานได้ ยังสามารถนำไปทำเป็นชา แยม หรือไส้ขนมได้
ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูก เพื่อการค้าแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว และเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยประเทศที่ปลูกกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกุหลาบตัดดอกประมาณ 5,500 ไร่ กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี และกาญจนบุรี มีการขยายตัวของพื้นที่ปลูกมากที่สุดใน อำเภอพบพระ จังหวัดตาก
เย่ว์จี้(Rosa chinensis Jacq) ใด้ชื่อว่า ราชินีดอกไม้ ทั่วโลกมีราว 10,000 ชนิด ในจีนมีกว่า 1,000 ชนิด
จีนเป็นแหล่งปลูกเย่ว์จี้ดั้งเดิมแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีดอกสวยงาม รูปลักษณ์หลากหลายและสีสันงามวิจิตร อีกทั้งยังมีช่วงเวลาที่ให้ดอกนาน ทำให้ดอกเย่จี้ได้รับเลือกว่า เป็นดอกไม้ชื่อดังอันดับที่ 5 ของจีนเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1985 ขณะนี้ 52 เมืองของจีนเลือกดอกเยว์จี้เป็นดอกไม้ประจำเมือง อย่างเช่น กรุงปักกิ่ง หากมาเยือนปักกิ่งในเดือนพฤษภาคม จะได้ชมดอกเยว์จี้ทุกแห่ง ทำให้กรุงปักกิ่งกลายเป็นเมืองแห่งดอกเย่ว์จี้ ไม่ว่าสวนใหญ่ สวนเล็ก ข้างถนน หรือรั้วเกาะกลางถนนวงแหวนที่ 3 และที่ 4 ล้วนปลูกต้นเย่ว์จี้ ในบรรดาเมืองต่างๆ ของจีน เย่ว์จี้เห็นจะเหมาะกับสภาพของดินและอากาศของปักกิ่งเป็นพิเศษ
ต้นกุหลาบมีรูปลักษณ์ที่ต่างกัน ทั้งที่เป็นไม้เลื้อย พุ่มและไม้เตี้ย แม้กระนั้น ดอกกุหลาบก็มีลักษณะต่างกัน คือ บางชนิดส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ บางอย่างส่งกลิ่นหอมแรง บางพันธุ์เวลาบานดอกคว่ำลง บางพันธุ์เวลาบานดอกหงายขึ้น แต่ต่างก็มีความสวยงามเป็นพิเศษ
ส่วนเย่ว์จี้ ดูจากชื่อก็รู้ว่า มันออกดอกปีละหลายครั้ง ในเมืองหนาวอย่างเช่น กรุงปักกิ่ง จะออกดอกตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน ส่วนเมืองทางใต้ เดือนมีนาคมก็เริ่มออกดอกแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ส่วนเหมยกุย ที่เป็นภาษาจีนให้ความรู้สึกแสนโรแมนติก เหมยกุยมักจะมีกลิ่นหอม ออกดอกครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม และออกดอกบ้างเล็กน้อยในเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม
นอกจากกุหลาบพันธุ์ดั้งเดิมของจีนแล้ว จีนก็นิยมนำพันธุ์ดีจากต่างประเทศมาปลูกด้วย อย่างเช่น กุหลาบเอเดน（Rose Eden） ได้รับการคัดเลือกจากสมาคมกุหลาบโลกให้เป็นกุหลาบที่ไดรับความนิยมมากที่สุดของโลก ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในวงการกุหลาบ
คงเพราะเป็นที่ชื่นชอบ คนรักดอกไม้จึงตั้งชื่อเพราะๆ ให้กับเจ้ากุหลาบทั้งหลาย อย่างเช่น แองเจล่า (Angela) และเทพธิดา ฯลฯ
ส่วนเฉียงเวย (กุหลาบหนู) เป็นไม้เลื้อยที่มีดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีหลายดอก แต่ส่วนใหญ่ปีหนึ่งออกดอกเพียงครั้งเดียว มักจะปลูกเป็นรั้วกั้นลานบ้าน
หลายพื้นที่ของจีนมีการปลูกเหมยกุยชนิดที่รับประทานได้ ซึ่งถูกนำไปทำขนม นำไปชงคล้ายชา และมีบางส่วนนำไปกลั่นเป็นน้ำหอม อย่างเช่นอำเภอผิงอินมณฑลซานตง เมืองเทียนสุ่ยมณฑลกันซู่ และเมืองอานหนิงมณฑลยูนนาน ต่างเป็นแหล่งปลูกเหมยกุยรับประทานได้ที่มีชื่อเสียงของจีน
ปาเจีย เป็นตำบลเล็กๆ ที่ห่างจากเมืองคุนหมิงเพียง 70 กิโลเมตรเท่านั้น ช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคม ทุ่งกุหลาบพันธุ์ที่กินได้ที่ปลูกตามไร่นา หรือหุบเขา ส่งกลิ่มหอมมาแตะจมูก ดึงให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายไปเด็ดดอกกุหลาบกัน ซึ่งตั้งแต่ปี2015 เป็นต้นมา ปาเจียได้สร้างตลาดกุหลาบพันธุ์ที่กินได้แห่งแรกของจีน เพื่อซื้อขาย หรือสอนวิธีทำผลิตภัณฑ์จากกุหลาบ ซึ่งมีทั้งท็อฟฟี่กุหลาบ แยมกุหลาบ ขนมกุหลาบ ยาอมกุหลาบ สุรากุหลาบ ชากุหลาบ น้ำกุหลาบ สบู่กุหลาบ และอาหารจากกุหลาบด้วย โดยอาหารทุกชนิดล้วนมีกลีบกุหลาบ ทั้งอร่อยและทำให้สวยงามด้วย
( DAI )
