สภาสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายการปรับเพิ่มเพดานหนี้ด้วยคะแนนเสียง 74 ต่อ 26 เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น.วันที่ 2 สิงหาคมที่่ผ่านมา หลังจากนั้นไม่นาน ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ลงนามรับรองร่างกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ต้ากงระบุว่า การตัดสินใจปรับเพิ่มเพดานหนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า หนี้สินของสหรัฐฯ มีมากกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และมีมากกว่ารายได้การคลังของสหรัฐฯ เอง ซึ่งสภาวะเช่นนี้จะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงด้วย
ทั้งนี้ ต้ากงประมาณการว่า สหรัฐฯ จะต้องปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณลงให้ได้อย่างน้อย 4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปีข้างหน้า จึงจะสามารถประคับประคองสถานะการคลังและความสามารถในการชำระหนี้เอาไว้ได้ พร้อมกับคาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.5% ต่อปี ในปีนี้และปีหน้า เนื่องจากความอ่อนแอในการคุมเข้มนโยบายด้านการเงินและการคลัง
ต้ากงระบุว่า การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการถกเถียงกันระหว่างพรรคการเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีความสามารถที่จะแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ผลประโยชน์ของกลุ่มผู้ถือพันธบัตรของสหรัฐฯ ยังได้รับผลกระทบทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงาว่า จีนยังคงเป็นผู้ถือพันธบัตรรายใหญ่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน มีการถือครองทั้งสิ้น 1.15 ล้านล้านดอลลาร์