นายก่วน มู่ระบุว่า จีนไทยมีการไปมาหาสู่กันในระดับผู้นำบ่อยครั้ง มีกลไกความร่วมมือทวิภาคีที่สมบูรณ์แบบ ช่วงปีหลังๆ นี้ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ายิ่งประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาก้าวหน้า
"เวลานี้จีนเป็นเป้าหมายการส่งออกรายใหญ่อันดับที่หนึ่งและแหล่งสินค้านำเข้ารายใหญ่อันดับที่สองของไทย ส่วนไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่สองในหมู่ประเทศอาเซียนของจีน ยอดการค้าช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมปีนี้เป็นวงเงินมูลค่า 15,770 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 66 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่จีนลงทุนในไทยเมื่อปี 2011 เป็นวงเงิน 950 ล้านเหรียญสหรฐฯ จัดเป็นประเทศแหล่งทุนอันดับที่สองของไทย"
เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยยังระบุด้วยว่า ความร่วมมือจีน-ไทยพัฒนาทั่วทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจับตามองมาก "การเรียนการสอนภาษาจีนก็เป็นที่นิยมในประเทศเช่นกัน เวลานี้ ประเทศไทยมีสถาบันขงจื่อ 12 แห่ง ห้องเรียนขงจื่อ 11 แห่ง สถิติระบุว่า มีชาวไทยราว 800,000 คนเรียนภาษาจีน นอกจากนี้ จีนไทยเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหญ่ของกันและกัน โดยในปี 2011 ชาวจีนที่เดินทางไปเที่ยวไทยมีมากถึง 1,760,000 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับปีก่อน"
เอกอัครราชทูตจีนฯ ยังระบุว่า ความร่วมมือจีนไทยมีอยู่ในทุกด้าน ทุกแวดวงอย่างกว้างขวาง ทั้งในระดับสูงและลึก ถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนอันเข้มแข็งสำหรับการพัฒนาร่วมกันของสองประเทศ และนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่แท้จริงให้กับประชาชนสองประเทศ เขาเชื่อมันว่า ภายใต้ความพยายามร่วมกันของรัฐบาลและประชาชนทั้งสองประเทศ ความสัมพันธ์จีน-ไทยจะมีอนาคตที่แจ่มจรัสยิ่งๆ ขึ้นแน่นอน
(YIM/LING)