เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางกระทรวงสาธารณสุขจีนได้มีการออกประกาศถึงข้อกำหนดใหม่เกี่ยวกับ "คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต" ที่มีผลบังคับใช้นับแต่เดือนนี้เป็นต้นไป โดยข้อกำหนดใหม่มีรายละเอียดที่ปรับปรุงแก้ไขดังนี้ หนึ่ง)ช่วงอายุผู้บริจาคจากเดิมกำหนดไว้ที่ 18-55 ปี ได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่เป็นหากผู้ที่มีความประสงค์จะบริจาคโลหิตนั้น เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี มีประวัติการบริจาคมาแล้วหลายครั้ง และทางศูนย์รับบริจาคได้มีการประเมินผลรับรองแล้วก็สามารถบริจาคโลหิตได้ถึงอายุ 60 ปี สอง)ได้ยกเลิกการจำกัดสิทธิ์ไม่รับบริจาคเลือดจากกลุ่มรักร่วมเพศมาตลอด 14 ปีนับแต่ปี 1998 โดยกฎเกณฑ์ใหม่ได้อนุญาตให้กลุ่มรักร่วมเพศหญิงรักหญิงสามารถทำการบริจาคเลือดได้ ส่วนกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายยังคงถูกจำกัดสิทธิ์การบริจาคโลหิตต่อไป เนื่องจากถือเป็นกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูงกว่า และสาม)เพิ่มตัวเลือกปริมาณเลือดที่บริจาค ที่แต่เดิมผู้บริจาคสามารถเลือกได้เพียงสองตัวเลือกว่าจะบริจาคเลือดในจำนวน 200ml หรือ 400ml แต่ข้อกำหนดใหม่ได้เพิ่มจำนวน 300ml ขึ้นมาด้วย
บรรยากาศช่วงเช้าวันนี้(13 ก.ค.) ภายในอาคารสำนักงานสถานีวิทยุซีอาร์ไอ
กับการจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตประจำปี 2012 ของพนักงาน
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีในแต่ละปีนั้น กว่า 40%เป็นผู้ติดเชื้อจากกลุ่มชายรักชาย ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อในปี 2011 เกินกว่า 50%เป็นผู้ที่ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์แบบชายกับชาย ซึ่งจากข้อมูลในปีก่อนของศูนย์รับบริจาคโลหิตสภากาชาดเมืองหนานจิง ระบุว่าในจำนวนผู้บริจาคเลือดกว่า 7หมื่นราย ได้ตรวจพบผู้ติดเชื้อเอชไอวี 14 คน ซึ่งล้วนเป็นคนหนุ่มที่ส่วนหนึ่งเป็นผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ และแม้ว่าก่อนการบริจาคเลือดเจ้าหน้าที่จะมีการยื่นรายละเอียดเกี่ยวกับ "คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต" ให้ผู้บริจาคได้อ่านรับรู้ข้อมูลและทำการสำรวจตัวเองก่อนว่า ต้องไม่เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ อาทิ มีประวัติการเสพยาเสพติด มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือสำส่อนทางเพศ เป็นต้น แต่ถ้าหากกลุ่มผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศไม่เอ่ยบอกแล้วก็ยากที่จะพิจารณาตัดสินตัดสิทธิ์การบริจาคได้
แม้ว่าอัตราการบริจาคโลหิตของจีนจะมีการเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก็ยังไม่อยู่ในระดับที่เพียงพอต่อความต้องการ และแม้ว่าการ "ขายเลือด" จะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่มีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานที่ใดรับซื้อ แต่เมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทานจึงเกิดเป็นช่องว่างให้เกิดตลาดการค้า "ขายเลือด" ขึ้น ซึ่งผู้ขายเลือดนั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือผู้ที่มีฐานะยากจนและต้องเผชิญกับสภาวะขัดสนเงินทอง หรือขายจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาทิ ข่าวนักศึกษาหญิงรายหนึ่งหวังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับทางบ้าน จึงเลือกขายเลือดและช่วยเป็นนายหน้าจัดหา "ผู้ขายเลือด" ได้ผลตอบแทน 600 หยวน แต่ต้องถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน รอลงอาญา 1 ปี หรืออย่างกรณีเมื่อหลายปีก่อนชาวบ้านรายหนึ่งถูก "นายหน้าค้าเลือด" พาไป ขายเลือดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อ้างว่าสามารถตรวจเช็คสุขภาพได้ฟรี พอได้รับเงินและน้ำมันหรือข้าวสารตอบแทนกลับมา จึงมีครั้งที่สองและสามตามมา จนมาถึงครั้งที่สี่ที่จบเรื่องด้วยการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ