สื่อมวลชนรัสเซียรายงานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า เรือดำน้ำชั้นกิโลรุ่น 636 จำนวน 6 ลำที่รัสเซียสร้างให้เวียดนามนั้น ลำแรกจะลงน้ำที่เมืองแซน-ปิเตอร์เบิร์กในเดือนนี้เพื่อดำเนินการทดลองเดินเรือ และส่งไปยังเวียดนามภายในปีนี้
เวียดนามได้สั่งซื้อเรือดำน้ำที่จะทดลองลงน้ำลำนี้เมื่อเดือนเมษายนปี 2009 ซึ่งตอนนั้นมีมูลค่าประมาณ 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เรือดำน้ำ 6 ลำนี้จะทำให้กำลังสู้รบของเวียดนามเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง สาเหตุที่เวียดนามยอมลงทุนมหาศาลสั่งซื้อเรือ 6 ลำนี้ ก็เพราะเรือรุ่นนี้มีดัชนีสู้รบที่แข็งแรง
เพื่อเสริมกำลังทางทหารเรือ กองทัพเรือเวียดนามกำหนดโครงการพัฒนากองทัพเรือในศตวรรษที่ 21 วางแผนจะยกเลิกกำลังติดตั้งรุ่นเก่าก่อนปี 2010 และเพิ่มเรือรบรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญแก่การพัฒนาเรือดำน้ำและทหารอากาศ โดยตั้งเป้าไว้ว่า ก่อนปี 2050 จะต้องมีกำลังสู้รบระยะไกลทางทะเล และเพื่อปฏิบัติโครงการดังกล่าวให้เป็นจริง ตั้งแต่ปลายปี 2009 เป็นต้นมา เวียดนามเริ่มสั่งซื้อเรือดำน้ำ เครื่องบินรบและขีปนาวุธจากรัสเซียและอิสราเอลเป็นการใหญ่
แม้ว่ารัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเวียดนามเน้นว่าการซื้อเรือดำน้ำนั้นเป็นการเพื่อป้องกันประเทศ แต่บรรดาผู้สังเกตการณ์ทางทหารเห็นว่า การกระทำดังกล่าว ย่อมจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทะเลจีนใต้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เวียดนามไม่เพียงแต่เสริมการสร้างสรรค์กองทัพเรือเท่านั้น หากเพิ่มการลงทุนกองทัพอากาศด้วย ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา เวียดนามกับรัสเซียเจรจาสั่งซื้อเครื่องบินรบซู-30เอ็มเค(วี) 12 ลำ โดยมียอดเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จนถึงปี 2012 นี้ รัสเซียได้ส่งเครื่องบินรบทั้งหมดนี้ให้เวียดนามเรียบร้อยแล้ว
การกระทำดังกล่าวของเวียดนาม ไม่เพียงแต่ทำให้ปัญหาทะเลจีนใต้ทวีความสลับซับซ้อน หากยังก่อให้ประเทศต่างๆในอาเซียนเริ่มการแข่งขันกำลังทหารรอบใหม่ ประเทศอาเซียนมีความเป็นไปได้ที่จะทยอยกันสั่งซื้อเรือดำน้ำทันสมัย จนก่อเกิดการแข่งขันทั้งบนบกและใต้น้ำ
(Yim/Ping)