วันที่ 20 ธันวาคมนี้ การประชุมสุดยอดผู้นำอินเดีย-อาเซียนที่เป็นเวลา 2 วันได้จัดขึ้นที่กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ทั้งสองฝ่ายจะอภิปรายความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ กับบรรดาผู้นำประเทศอาเซียน ซึ่งรวมทั้งสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเป็นประธานประเทศหมุนเวียนของอาเซียน นายซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นายจาม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีอาวุโสพาณิชย์กัมพูชากล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ประเทศอาเซียนจะยกความสัมพันธ์กับอินเดียเป็นความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งผู้นำทั้งสองฝ่ายจะประกาศข่าวนี้ในที่ประชุมสุดยอด
ส่วนสำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า อินเดียกับอาเซียนจะประกาศแถลงการณ์ในการประชุมสุดยอด "อินเดีย-อาเซียน" ครั้งที่ 20 ที่จะจัดขึ้นที่กรุงนิวเดลี ระหว่างวันที่ 20-21 ธันวาคมนี้ ได้มีการเสนอให้ส่งเสริมความร่วมมือในด้านความปลอดภัยมหาสมุทรระหว่างอินเดียกับอาเซียน นอกจากนี้ ยังได้ประกาศการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีในด้านบริการและการลงทุนอินเดีย-อาเซียนด้วย
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเกียวโดกล่าวว่าได้รับแถลงการณ์ฉบับร่างแล้ว ซึ่งระบุว่า ทั้งสองฝ่ายสัญญาว่าจะส่งเสริมความร่วมมือทางความปลอดภัย ตลอดจนรับมือกับการท้าทายในด้านปลอดภัยที่มีมีอยู่แล้วและที่เพิ่งมีใหม่อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงอาชญกรรมข้ามประเทศ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมคำมั่นสัญญาที่เกี่ยวกับการปราบปรามการก่อการร้ายระหว่างประเทศของ "แถลงการณ์ร่วมอาเซียน-อินเดีย" นอกจากนี้ สำนักงานเกียวโดยังรายงานอีกว่า นอกจากจัดการเจรจาความปลอดภัยระดับสูงเป็นประจำเพื่อร่วมกันแบ่งปันข้อมูลข่าวสารแล้ว ยังได้ส่งเสริมความร่วมมือในด้านความปลอดภัยมหาสมุทร เสรีภาพการเดินเรือ การอนุรักษ์ทรัพยากร และความปลอดภัยของการเดินเรือทางทะเลด้วย
อินเดียมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับอาเซียนมายาวนาน ขณะเมื่ออาเซียนจัดตั้งขึ้นใหม่ๆ นั้น อินเดียยังมีท่าทีนิ่งเฉย หลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้ว จึงเริ่มปฏิบัติตามนโยบาย "สู่ตะวันออก" ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับอาเซียนมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ซึ่งในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2003 ได้จัดตั้งกลไกความร่วมมืออาเซียน-อินเดีย ขึ้น จนปัจจุบัน อินเดียขยับขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับที่ 7 ของอาเซียน ระหว่างปี 2010-2011 ยอดมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียเติบโตขึ้น 30% ทะลุ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งหากเติบโตด้วยอัตราเติบโตเช่นนี้ต่อไป มูลค่าการค้าระหว่างสองฝ่ายในปี 2012 จะทะลุ 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
(Ton/zheng)