เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ภาวะวิกฤติทั้งภายในและภายนอกของซีเรียกำลังเลวร้ายลงอีก เมื่อนายโมอัซ อัล-กาติบ (Moaz Al-Khatib) ประธานสภาฝ่ายต่อต้านของซีเรียประกาศลาออกจากตำแหน่ง และในวันเดียวกัน ซีเรียและอิสราเอลเกิดการปะทะในเขตชายแดน นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า การปะทะที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลาสองปีดังกล่าวคงจะขยายเวลาออกไปอีก ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมโดยเร็ว ก็คงจะส่งผลกระทบถึงเขตอื่นๆของภูมิภาคตะวันออกกลาง
วิกฤติภายในของซีเรียทวีความรุนแรงขึ้นอีก เมื่อฝ่ายค้านอาจจะถือจุดยืนที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้น ซึ่งได้แสดงออกมาจากการลาออกจากตำแหน่งของนายโมอัซ อัล-กาติบ แม้ว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากประเทศตะวันตก แต่เขายืนหยัดในการจัดการเจรจา และแก้ไขปัญหาซีเรียด้วยวิธีการเมือง ซึ่งทำให้สมาชิกฝ่ายค้านจำนวนหนึ่งไม่พอใจ
ขณะเดียวกัน ซีเรียยังต้องเผชิญกับความกดดันจากภายนอกมากยิ่งขึ้น สหภาพยุโรปกำลังดำเนินการอภิปรายเกี่ยวกับการยกเลิกคำสั่งห้ามขนส่งอาวุธต่อซีเรียหรือไม่ ซึ่งอังกฤษกับฝรั่งเศสได้เสนอหลายครั้งแล้วว่า สหภาพยุโรปควรจะยกเลิกคำสั่งดังกล่าว และเตือนว่า ถ้าสหภาพยุโรปไม่สามารถบรรลุความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับการณ์นี้ อังกฤษกับฝรั่งเศสจะใช้ปฏิบัติการตามลำพังฝ่ายเดียว
อีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศสันนิบาตชาติอาหรับประกาศที่กรุงไคโรว่า จะสนับสนุนประเทศสมาชิกสำรหับการสนับสนุนอาวุธแก่ฝ่ายค้านรัฐบาลซีเรีย และเชิญฝ่ายค้านรัฐบาลซีเรียเข้าร่วมสันนิบาตชาติอาหรับแทนรัฐบาลซีเรีย
นอกจากนี้ การที่ซีเรียอาจใช้อาวุธเคมีนั้นก็สร้างความสนใจจากประชาคมโลกอย่างกว้างขวาง เมื่อเร็วๆนี้ นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวเน้นขณะเยือนอิสราเอลว่า การใช้อาวุธเคมีนั้นเป็นการขีดเส้นตายของรัฐบาลซีเรีย นักวิเคราะห์เห็นว่า คำกล่าวของนายโอบามาเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้อาวุธเคมีนั้นคงเป็นเงื่อนไขที่สหรัฐฯสามารถเข้าแทรกแซงสงครามภายในของซีเรียได้โดยตรง
Ying/Sun