วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา การซ้อมรบร่วมเกาหลีใต้กับสหรัฐอเมริกาภายใต้รหัส "โฟล อีเกิล"สิ้นสุดลง เนื่องจากการซ้อมรบครั้งนี้กับการซ้อมรบครั้งที่แล้ว ถูกเกาหลีเหนือใช้เป็นข้ออ้างกล่าวว่าเป็นการยั่วยุอย่างหนักและต้องการระดมกำลังก่อสงครามรุกราน ดังนั้น ภายนอกจึงเดาเอาว่า หลังจากการซ้อมรบสิ้นสุดลง สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีอาจจะผ่อนคลายลง
แต่พร้อมกันนี้ นิคมอุตสาหกรรมแคซอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ต้องเผชิญกับปัญหาที่จะต้องปิดตัวลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งนิคมฯ เป็นต้นมา จึงทำให้สถานการณ์ถูกปกคลุมด้วยเงามืดอีก
สื่อมวลชนชี้ว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีอาจจะผ่อนคลายลงนั้น เกี่ยวข้องกับสถานการณ์อันตึงเครียดในปัจจุบันอย่างใกล้ชิด เพราะว่า การซ้อมรบร่วมระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ ประจำปีนี้จัดขึ้นหลังการทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 3 ของเกาหลีเหนือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ในช่วงการซ้อมรบ ทหารสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่จัดส่งทหารกว่า 10,000 นายเหมือนการซ้อมรบครั้งที่แล้วๆ มา หากยังจัดเครื่องบินรบ B-52 และ B-2 ที่มีขีดความสามารถการโจมตีทางนิวเคลียร์เป็นครั้งแรก รวมถึงเครื่องบินรบรุ่นที่ 4 F-22 ก็ถูกเปิดตัวด้วย แม้ว่าเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ ต่างอ้างว่า การซ้อมรบเพื่อการป้องกันนี้ได้แจ้งแผนการซ้อมรบให้เกาหลีเหนือรับทราบแล้ว แต่เนื่องจากพื้นหลังพิเศษดังกล่าว ทำให้การซ้อมรบประจำปีนี้จึงได้รับความสนใจและประณามจากเกาหลีเหนือมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านั้น เกาหลีเหนือเคยแสดงทัศนะหลายครั้งว่า การซ้อมรบครั้งนี้เป็นการยั่วยุเกาหลีเหนือและเตรียมการเพื่อสงครามนิวเคลียร์ และถือเป็นสาเหตุสำคัญของการประกาศยกเลิกข้อตกลงหยุดยิงและข้อตกลงไม่ล่วงล้ำซึ่งกันและกันระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้
นอกจากนี้ ในขณะที่คัดค้านการซ้อมรบร่วมอย่างรุนแรงนั้น เกาหลีเหนือก็แสดงท่าทีว่า เกาหลีเหนือมีความเป็นไปได้ที่จะจัดการเจรจาโดยมีเงื่อนไขว่า เกาหลีใต้กับสหรัฐฯ หยุดการซ้อมรบ และทหารสหรัฐฯ ถอนอาวุธนิวเคลียร์
เพราะฉะนั้น นักวิเคราะห์เห็นว่า การซ้อมรบร่วมสิ้นสุดลงอาจเป็นโอกาสที่เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ตลอดจนเกาหลีเหนือกับสหรัฐฯ จัดการเจรจา เพื่อส่งเสริมให้สถานการณ์ตึงเครียดผ่อนคลายลง
Yim/Lr