รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เมียนมาร์กำลังบุกเบิกและพัฒนาระบบการผลิตข้าว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกข้าวในปีนี้ 2 ล้านตัน และปี 2015 เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านตันต่อปี จากนั้น คาดการณ์ว่าในปี 2023 จะส่งออกข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านตันต่อปี เพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกันกับไทย เวียดนามและอินเดีย โดยหวังจะเป็น 1 ใน 5 ประเทศส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก
รัฐบาลได้ใช้นโยบายสนับสนุนการส่งออกข้าวอีกทั้งมีมาตรการหลายอย่างที่เป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เช่นยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าและจำหน่ายผลผลิตการเกษตร ให้เงินกู้รายย่อยแก่เกษตรกร ให้ความรู้ในการพัฒนาการผลิตข้าวคุณภาพดี ได้ปริมาณมากขึ้น จึงทำให้เมียนมาร์กลายเป็นฐานทำการค้าและลงทุนด้านข้าวรวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำอิรวดีทางภาคใต้ของเมียนมาร์เป็นเขตปลูกข้าวสำคัญแห่งหนึ่ง มีความอุดมสมบูรณ์และปริมาณน้ำฝนพอเพียง แต่ปัจจุบันยังมีปัญหาขาดแคลนเงินทุน เทคโนโลยีล้าหลัง และคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ไม่ดีพอ
เดือนกันยายนปีที่แล้ว พลเอกเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีเมียนมาร์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวขณะเข้าร่วมงานมหกรรมจีน-อาเซียนว่า พืชอาหารเป็นหลักประกันสำคัญที่สุดของการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเมียนมาร์สามารถผลิตได้เพียงพอบริโภคภายในประเทศแล้วยังเหลือส่งออกได้ด้วย แต่เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ต้องปฏิรูประบบการเกษตรเพื่อเพิ่มบริมาณผลผลิต
สื่อมวลชนเมียนมาร์รายงานว่า เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารด้านการเกษตรในเมียนมาร์ได้ปล่อยเงินกู้เพิ่มอีกหนึ่งแสนล้านจ๊าต (ประมาณ 114 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ) สำหรับการลงทุนปลูกข้าว ด้านผู้นำเมียนม่าร์ ได้ลงนามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยการเกษตรและการป่าไม้ซีเป่ยของจีนเพื่อให้จีนอบรมบุคลากรด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเยือนและความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างจีนกับเมียนมาร์ อีกทั้งรัฐบาลจีนได้ให้เงินกู้การเกษตรรายย่อยให้กับเมียนมาร์ด้วย
Nune/Lr