หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้ารายงานว่า วันที่ 12 มกราคมนี้ คำสั่งห้ามส่งออกแร่ดิบของอินโดนีเซียเริ่มมีผลบังคับใช้ โดยรัฐบาลอินโดนีเซียจะห้ามส่งออกแร่ดิบอย่างครอบคลุม โดยบริษัทเหมืองแร่ในอินโดนีเซียต้องถลุงแร่ก่อน แล้วค่อยส่งออก
อินโดนีเซียเป็นประเทศส่งออกสินแร่ที่สำคัญของโลกประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปีหลังๆ นี้ ทรัพยากรแร่ธาตุของอินโดนีเซียลดน้อยลงอย่างมาก รัฐบาลจึงได้ออกกฎหมายการทำเหมืองแร่และถ่านหินเมื่อปี 2009 โดยกำหนดไว้ว่า จะห้ามส่งออกแร่ดิบตั้งแต่วันที่ 12 มกราคมปี2014 เป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ กระตุ้นมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกผลิตภัณฑ์แร่ สนับสนุนอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ ที่เกิดจากการถลุงแร่ และสร้างงานให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายใหม่นี้ได้ประสบอุปสรรคหลายอย่าง ด้านหนึ่ง บริษัทเหมืองแร่ในอินโดนีเซียส่วนใหญ่คัดค้านการใช้นโยบายใหม่นี้ เพราะว่าโครงสร้างพื้นฐานในอินโดนีเซียยังค่อนข้างล้าหลัง ทำให้บริษัทเหมืองแร่ต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างโรงถลุงแร่ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ลดน้อยลง ด้วยเหตุนี้ บริษัทเหมืองแร่บางส่วนประกาศว่า หากคำสั่งห้ามนี้มีผลบังคับใช้ ทางบริษัทจะต้องเลิกจ้างคนงานจำนวนมาก บางบริษัทคาดว่า จะต้องลดปริมาณการผลิตถึง 60% และเลิกจ้างคนงานกว่า 7,000 คน อีกด้านหนึ่ง ตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา การขยายตัวของเศรษฐกิจอินโดนีเซียชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง การส่งออกตกต่ำลงเช่นกันทำให้ตัวเลขแดงการคลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เงินรูเปียอ่อนค่าลงอย่างมาก นอกจากนี้ หลังใช้นโยบายใหม่นี้ รัฐบาลจะมีรายได้ลดลง 830 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้ตัวเลขแดงการคลังขยายตัวออกไปอีก
ด้วยสาเหตุดังกล่าว ก่อนที่นโยบายนี้มีผลบังคับใช้ไม่กี่ชั่วโมง รัฐบาลอินโดนีเซียตัดสินใจว่า จะแก้ไขคำสั่งห้ามส่งออกสินแร่อย่างครอบคลุม โดยเมื่อค่ำวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียแถลงว่า จะอนุมัติบริษัทเหมืองแร่ 66 แห่งส่งออกหัวแร่ไปจนถึงปี 2017 ส่วนรายละเอียดของระเบียบข้อกำหนดจะประกาศภายหลัง
ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นว่า นโยบายใหม่นี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของอินโดนีเซียเท่านั้น หากยังจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติด้วย ขณะนี้ บริษัทเหมืองแร่หลายแห่งใช้ท่าทีรอดูไปก่อนต่อการดำเนินนโยบายใหม่นี้ ขณะที่มีบริษัทเหมืองแร่กว่า 100 แห่งได้หยุดหรือลดการส่งออกสินแร่แล้ว
(YIM/cai )