สำนักข่าวซินหวารายงานว่า ปีนี้เป็นปีครบรอบ 60 ปีของหลักการ 5 ประการว่าด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของจีน หลายสิบปีมานี้ จีนพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ตามหลักการ 5 ประการดังกล่าวตลอดมา นอกจากนี้ หลักการ 5 ประการนี้ก็ได้มีส่วนช่วยให้ประเทศต่างๆ พัฒนาความสัมพันธ์กันเช่นกัน และได้กลายเป็นหลักการสำคัญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
เนื้อหาของหลักการ 5 ประการว่าด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติคือ การเคารพอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค เอื้อประโยชน์แก่กัน และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เมื่อวันที่ 29 เมษายนปี 1954 จีนกับอินเดียประกาศแถลงการณ์ว่าด้วยการเจรจา และลงนามใน "ข้อตกลงว่าด้วยการค้าและการคมนาคมระหว่างทิเบตของจีนและอินเดีย" โดยสองประเทศเห็นพ้องต้องกันรวมหลักการ 5 ประการฯ ให้อยู่ในแถลงการณ์และข้อตกลง เพื่อใช้เป็นหลักในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ต่อมา ภายใต้การริเริ่มของจีน อินเดีย และเมียนมาร์ หลักการ 5 ประการดังกล่าวค่อยๆ กลายเป็นหลักการพื้นฐานในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ
นายอู เส่ง วินออง อดีตเอกอัครราชทูตเมียนมาร์ประจำจีน ประธานสมาคมมิตรภาพเมียนมาร์-จีน กล่าวว่า แม้ว่าได้สร้างสหประชาชาติขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ตาม แต่การปะทะกันระดับภูมิภาคเกิดขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์จึงคิดที่จะตกลงหลักการบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 โดยหลักการ 5 ประการว่าด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันตินั้น มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก
ขณะเดียวกัน นายอู เส่ง วินออง กล่าวว่า ปัจจุบัน ความขัดแย้งกันระหว่างประเทศต่างๆ ได้รวมถึงสงครามด้านเศรษฐกิจ และวิกฤติด้านลัทธิมนุษยธรรม เป็นต้น ถ้าจะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ก็ต้องพัมนาเนื้อหาของหลักการ 5 ประการฯ ดังกล่าวต่อไป เขากล่าวว่า ในฐานะประเทศริเริ่มหลักการ 5 ประการฯ เมียนมาร์รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก เขาเรียกร้องให้ประเทศต่าง ยืนหยัดและพัฒนาเนื้อหาของหลังการต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ นายอู เส่ง วินอองได้จัดการบรรยาย 2 ครั้งที่กรุงย่างกุ้ง เพื่อรำลึกการประกาศหลักการ 5 ประการว่าด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติครบรอบ 60 ปีในนามของคณะกรรมการการเจรจาทางศาสนาเมียนมาร์ และสมาคมมิตรภาพเมียนมาร์-จีน
In/Ldan