เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สิ้นสุดการเยือนเอเชียและเดินทางกลับกรุงวอชิงตัน ในระหว่างการเยือน 4 ประเทศเอเชีย นายโอบามาพยายามส่งเสริมการเจรจาว่าด้วยข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ทีพีพี แต่ไม่สามารถลงนามในข้อตกลงกับประเทศที่เกี่ยวข้องได้
นักวิเคราะห์เห็นว่า ในระหว่างการเยือน นายโอบามาเรียกร้องให้ญี่ปุ่นและมาเลเซียสนับสนุนเจรจาข้อตกลง "ทีพีพี" ที่เขาเสนอ แต่ประชาชนญี่ปุ่นและมาเลเซียต่างไม่ชอบข้อตกลงดังกล่าวอย่างยิ่ง ผู้นำทั้ง 2 ประเทศจึงไม่อยากจะแสดงท่าทีที่ดีต่อนายโอบามาในประเด็นด้านการค้า ข้อเสนอของนายโอบามาจึงตกไป
อุปสรรคด้านการเมืองของนายโอบามาภายในประเทศมาจากพรรคเดโมแครตในรัฐสภา ถึงแม้ว่าวงการพาณิชย์สหรัฐฯ สนับสนุนข้อตกลงทีพีพี แต่องค์การแรงงานและองค์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลับปฏิเสธ ดังนั้น พรรคเดโมแครตจึงมีท่าทีสงสัย
สื่อมวลชนสหรัฐฯ วิจารณ์ว่า สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นไม่สามารถแม้แต่บรรลุกรอบข้อตกลงทีพีพีด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของนโยบายทางการทูตของสหรัฐฯ อีกครั้ง ด้านสื่อมวลชนญี่ปุ่นรายงานว่า การเจรจาตกอยู่ในภาวะชะงักงันในประเด็น 2 ประการ ได้แก่ จะลดภาษีศุลกากรเนื้อวัวญี่ปุ่นมากน้อยแค่ไหน และจะเปิดตลาดการแปรรูปเนื้อหมูระดับล่างของญี่ปุ่นอย่างไร
สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม ต่างเป็นฝ่ายเจรจาข้อตกลงทีพีพี นายเอ ซุนโอห์ เลขานุการด้านการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า รัฐบาลมาเลเซียมีนโยบายคุ้มครองธุรกิจมาเลเซียในหลายด้าน แต่สหรัฐฯ เรียกร้องให้ยกเลิก "สิทธิพิเศษ" เหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลมาเลเซียยอมรับไม่ได้ นอกจากนี้ ภาคเอกชนมาเลเซียมีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อกำหนดด้านการคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาในการเจรจา ซึ่งการเจรจาข้อตกลงทีพีพีเรียกร้องให้เลื่อนกำหนดเวลาคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของยา โดยยาหลายประเภทที่หมดอายุด้านสิทธิทรัพย์สินทางปัญญานั้น จะได้รับการคุ้มครองใหม่ ราคาจึงจะเพิ่มสูงจึ้น นายเอ ซุนโอห์กล่าวว่า การเจรจาในปีนี้เกือบจะชะงักโดยสิ้นเชิง เพื่อผลักดันการเจรจา สหรัฐฯ อาจจะต้องลดมาตรฐานการเจรจาบ้าง
In/Ldan