ทางการเมียนมาร์ประกาศเคอฟิวในเมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของเมียนมาร์ติดต่อกันเป็นเวลา 2 วัน โดยห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในยามวิกาล ตั้งแต่เวลา 21.00-05.00 น. ของวันที่ 3-4 กรกฎาคม เมื่อวันที่ 3 ก.ค. หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบจากความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมในช่วงสองคืนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีชาวพุทธกับชาวมุสลิมเสียชีวิตแล้ว 2 คน และอีก 14 คนได้รับบาดเจ็บ
ความขัดแย้งครั้งนี้เกิดขึ้นจากรายงานของสื่อมวลชนเมียนมาร์ที่ว่ามีการโพสต์บนเว็บไซต์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ว่า มีหญิงชาวพุทธคนหนึ่งถูกข่มขืนโดยชาวมุสลิมในร้านค้าแห่งหนึ่งในเมืองมัณฑะเลย์ ข่าวนี้เผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว ต่อมามีชาวพุทธปิดล้อมร้านค้าแห่งนี้ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ผู้ก่อเหตุใช้มีดและกระบองปิดล้อมร้านค้า ตำรวจท้องถิ่นจัดส่งกำลังมากกว่า 1 พันนายรักษาความสงบ และยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุม
จนถึงเมื่อคืนวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่าน รัฐบาลเมียนมาร์ไม่ได้กล่าวเกี่ยวกับการปะทะครั้งนี้โดยตรง แต่เช้าวันเดียวกัน พลเอกเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีเมียนมาร์กล่าวผ่านวิทยุเรียกร้องประชาชนอย่าใช้ปฏิบัติการแก้แค้น เขาเน้นว่า เมียนมาร์เป็นประเทศที่มีหลายชนเผ่าและศาสนา มีแต่ประชาชนทั่วประเทศอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง การปฏิรูปของเมียนมาร์จึงจะประสบความสำเร็จได้ ตำรวจท้องถิ่นกล่าวว่า ได้สอบสวนคดีข่มขืนครั้งนี้แล้ว
สถานทูตสหรัฐประจำเมียนมาร์ประกาศแถลงการณ์หลังเกิดการปะทะว่า กฎหมายมีความสำคัญต่อความเที่ยงธรรม ความมั่นคงและการพัฒนาของสังคม แต่ไม่ใช่ข่าวลือและการกระทำผิดกฏหมายของผู้ก่อการร้าย นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องยับยั้งชั่งใจ หยุดการปะทะโดยเร็ว การปะทะครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการเยือนเมียนมาร์ครั้งแรกของนางจูลี บิชอป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย แต่นางจูลี บิชอปไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อเหตุนี้
In/kt