สำนักข่าวซินหวารายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เครื่องบินรบของประเทศต่างๆ ซึ่งรวมทั้งซาอุดิอาระเบียได้โจมตีเป้าหมายทางการทหารภายในชายแดนเยเมนต่อไป เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขเยเมนประกาศแถลงการณ์ว่า การโจมตีทางอากาศต่อเนื่อง 4 คืนนั้นได้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 35 ราย บาดเจ็บ 88 ราย ในกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน ชาวเมืองจำนวนมากได้อพยพหนีออกจากตัวเมืองเพื่อหลบหนีความวุ่นวาย มีร้านค้ามากมายได้ปิดบริการ

เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา นายนาบิล อัล-อราบิ(Nabil al-Arabi) เลขาธิการสันนิบาตอาหรับที่กำลังเข้าร่วมประชุมผู้นำสันนิบาตอาหรับ ครั้งที่ 26 ที่เมืองชารัม เอล ชีค( Sharm el Sheikh)ของอียิปต์ระบุว่า ประเทศอาหรับหลายประเทศจะปฏิบัติตามพฤติกรรมทางการทหารต่อไป จนกระทั่งถึงกลุ่มติดอาวุธฮูติ( Houthi Group)มอบอาวุธและถอนออกจากเขตที่ยึดครอง

ซาอุดิอาระเบียในฐานะเป็นฝ่ายกระทำพฤติกรรมทางการทหารครั้งนี้มีท่าทีเข้มแข็งต่อการใช้การโจมตีทางอากาศในเยเมนต่อไปหรือไม่ ในช่วงสามสิบกว่าปีมานี้ ซาอุดิอาระเบียที่มีนิกายซุนนีเป็นฝ่ายนำได้รักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลเยเมน ได้โจมตีต่อหลายครั้งต่อกลุ่มติดอาวุธฮูติของนิกายชีอะห์ภายในชายแดนเยเมน เมื่อเดือนกันยายนปี 2014 กลุ่มติดอาวุธฮูติได้ใช้กำลังอาวุธยึดครองกรุงซานา ได้บีบพรรคการเมืองอื่นๆ มากยิ่งขึ้น มุ่งที่จะควบคุมรัฐบาลเยเมน

ซาอุดิอาระเบียกับอิหร่านที่มีนิกายชีอะห์เป็นฝ่ายนำมีข้อขัดแย้งมีมาช้านาน อิหร่านครั้งนี้ถูกระบุว่าสนับสนุนกลุ่มฮูติมุ่งที่จะคว่ำรัฐบาลเยเมน นักวิเคราะห์ชี้ว่า ซาอุดิอาระเบียเพื่อรักษาฐานะสำคัญของตนในตะวันออกกลาง จึงจะใช้พฤติกรรมสนับสนุนรัฐบาลเยเมน ในขณะเดียวกัน ซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจสำคัญประเทศหนึ่งของเยเมน ยากที่จะให้รัฐบาลเยเมนเข้าใกล้กับเยเมน

นอกจากนี้ เนื่องจากการต่อสู้ภายในเยเมนรุนแรงยิ่งขึ้น สูญญากาศทางอำนาจทำให้องค์การก่อการร้ายต่างๆ ซึ่งรวมทั้งกลุ่มอัลกออีดะห์ใช้โอกาสนี้ขยายขอบเขตของอิทธิพล เป็นเหตุทำให้สถานการณ์ความปลอดภัยของเยเมนรุนแรงยิ่งขึ้น

เนื่องจากสถานการณ์เยเมนเลวร้ายลง ประเทศต่างๆ ซึ่งรวมทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส ซาอุดิอาระเบีย และอียิปต์ต่างได้ปิดสถานทูตประจำเยเมน และเรียกร้องให้พลเมืองรีบอพยพออกจากเยเมนโดยเร็ว

(YIm/zheng)