สำนักข่าวซินหวารายงานว่า เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติจัดประชุมพิจารณาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสหรัฐอเมริกา ผู้แทนจากประมาณ 120 ประเทศร่วมประชุม โดยได้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะมากมายเกี่ยวกับปัญหาในด้านสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ผู้เชื่ยวชาญและสื่อมวลชนหลายประเทศเรียกร้องให้สหรัฐฯ ลงมือแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนที่นับวันรุนแรงยิ่งขึ้น
ในที่ประชุมครั้งนี้ เนื่องจากกำหนดเวลาให้แต่ละคนนำเสนอเพียง 1 นาที 5 วินาที ดังนั้น ผู้ร่วมประชุมล้วนใช้ถ้อยคำที่สั้นกระทัดรัดชี้แจงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ รวมถึง การดักฟังทั้งในและนอกประเทศ การคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว การปฏิบัติตามกฎหมายที่เกินไปของตำรวจ หน่วยงานข่าวกรองใช้การทารุณกรรมพร่ำเพรื่อ การปรับสิทธิพลเมืองและเงื่องไขการครองชีพของชนพื้นเมืองให้ดีขึ้น เรือนจำกวนตาโนโม เป็นต้น เรียกร้องรัฐบาลสหรัฐฯ ให้รีบลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษชนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์สตรี เด็กและคนพิการ
นายหู อีซาน อดีตเลขานุการด้านการเมืองของอนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนักวิชาการระดับสูงของสถาบันวิจัยกิจการระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์เห็นว่า หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยาฯ สหรัฐฯ มีความไม่สมดุลที่ร้ายแรงระหว่างการปราบปรามการก่อการร้ายกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ชอบใช้ข้ออ้างปราบปรามการก่อการร้ายปิดเบือนสภาพที่ย่ำแย่ด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เขาชี้ว่า ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ มีมาเนิ่นนาน ทุกวันนี้ พฤติกรรมการเหยียดผิวหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น ตำรวจจัดการคนผิวสีด้วยกำลังรุนแรง ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ดำเนินการดักฟังข้อมูลการสื่อสารขนาดใหญ่ทั้งของชาวอเมริกันและชาวต่างชาติ เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของพลเมือง การกระทำทารุณกรรมกับผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายของหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐที่มีเสียงประณามอย่างกว้างขวาง และยังไม่ยอมปิดเรือนจำกวนตานาโมที่ตั้งมานานแล้ว นับเป็นแผลเป็นใหญ่ในกระบวนการประชาธิปไตยและกฎหมายของสหรัฐฯ
นักรัฐศาสตร์ชาวเคนยาเน้นว่า ความวุ่นวายที่เกิดในเมืองบัลติมอร์เมื่อเร็วๆ นี้สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและปรากฏการณ์เหยียดชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ หนักหนาสาหัสในปัจจุบัน
IN/FENG