สำนักข่าวซินหวารายงานว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ปี 1945 จีน สหรัฐฯ และอังกฤษลงนามในสนธิสัญญาพอทสดัม ซึ่งได้ยอมรับข้อความสำคัญในแถลงการณ์ไคโรที่ประกาศเมื่อปี 1943 โดยได้ยอมรับรูปแบบการปฏิบัติต่อญี่ปุ่นหลังสงครามและยอมรับข้อกำหนดเกี่ยวกับขอบข่ายดินแดนญี่ปุ่นภายหลังสงคราม ขณะเดียวกัน ยังได้จัดตั้งกรอบพื้นฐานของระเบียบสากลในเอเชีย-แปซิฟิก
ข้อกำหนดที่ 6 ของสนธิสัญญาพอทสดัมระบุว่า ต้องขับไล่ลัทธิใช้ความรุนแรงให้ออกไปจากโลก และล้มล้างอิทธิพลที่มุ่งหมายจะพิชิตทั่วโลกและชี้นำประชาชนญี่ปุ่นในทางผิดให้หมดสิ้น นี่ก็เป็นหลักพื้นฐานของรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่ปี 1947 ทำให้ญี่ปุ่นยอมรับว่า จะไม่ก่อสงคราม ไม่ก่อการคุกคามด้วยกำลังอาวุธ และไม่จัดการข้อขัดแย้งระหว่างประเทศด้วยกำลังอาวุธมาโดยตลอด
สนธิสัญญาพอทสดัมยังได้สร้างพื้นฐานด้านกฎหมายแก่การแก้ปัญหาดินแดนระหว่างจีนกับญี่ปุ่นภายหลังสงคราม ข้อกำหนดที่ 8 ของสนธิสัญญาดังกล่าวระบุว่า อธิปไตยของญี่ปุ่นต้องจำกัดอยู่ในขอบข่ายเกาะฮอนชู ฮอกไกโด คิวชู ชิโกกุ และเกาะเล็กอื่นๆตามกำหนด นอกจากนี้ สนธิสัญญาดังกล่าวยังเน้นว่า ข้อกำหนดของแถลงการณ์ไคโรต้องได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง และเรียกร้องให้ญี่ปุ่นคืนดินแดนของจีนที่ยึดไว้กลับสู่จีนโดยเร็ว
แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ปีหลังๆนี้ อิทธิพลปีกขวาของญี่ปุ่นปิดบังประวัติศาสตร์และท้าทายกฎระเบียบสากลหลังสงครามโลกบ่อยครั้ง รวมถึงการไปคารวะศาลเจ้ายาซูกุนิ การปิดบังความจริงในตำราเรียนประวัติศาสตร์ การผ่อนคลายสิทธิ์ป้องกันตนเองร่วม และการเสริมกำลังอาวุธอย่างขนานใหญ่ เป็นต้น เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ นายชินโซ อาเบะยังเคยระบุว่า เขาไม่ได้ดูข้อความสนธิสัญญาพอทสดัมอย่างละเอียด นี่เป็นการท้าทายต่อสันติภาพและระเบียบสากล ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ญี่ปุ่นมีความอันตรายที่จะก่อสงครามขึ้นอีก ยังจะนำซึ่งความเสี่ยงแก่เสถียรภาพของภูมิภาคนี้ด้วย