สำนักข่าวซินหวารายงานว่า เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2016 ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนสั่งให้นำเครื่องบินโดยสาร 2 ลำจากท่าอากาศยานเหม่ยหลัน เมืองไห่โข่ว มณฑลไหหลำบินไปที่สนามบินบนแนวหินโสโครกหย่งสู่ หลังจากใช้เวลาบินเกือบ 2 ชั่วโมง ได้ลงจอดที่ท่าอากาศยานใหม่บนแนวหินโสโครกหย่งสู่หมู่เกาะหนานซาเมื่อเวลา 10.21 น. และ 10.46 น.ตามลำดับ และได้บินกลับเมืองไห่โข่วบ่ายวันเดียวกัน การทดลองบินครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

การที่รัฐบาลจีนสั่งให้นำเครื่องบินโดยสารไปทดลองบินขึ้นลงที่สนามบินใหม่ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ท่าอากาศยานใหม่บนแนวหินโสโครกหย่งสู่หมู่เกาะหนานซามีความพร้อมในการรองรับเครื่องบินพลเรือนขนาดใหญ่ ซึ่งจะกลายเป็นท่าอากาศยานอีกแห่งหนึ่งในเขตหนานไห่สำหรับการบินข้ามมหาสมุทรของเครื่องบินโดยสาร และทำให้มีเส้นทางการบินที่ทั้งประหยัดเวลาและประหยัดเงินด้วย

ต่อการนี้ นักวิชาการและสื่อมวลชนหลายประเทศอาเซียนต่างเห็นว่า การกระทำนี้เป็นเรื่องภายในอธิปไตยของจีน ประเทศอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์แทรกแซง การที่จีนดำเนินการใดๆ ในแนวหินโสโครกหมู่เกาะหนานซา เช่น การกู้ภัยทางทะเล และประกันความปลอดภัยในการเดินเรือ เป็นต้น มีส่วนช่วยต่อสันติภาพและการพัฒนาของภูมิภาค

ศาสตราจารย์หลี่ เหรินเหลียง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)ไทยระบุ การที่จีนสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานและสิ่งปลูกสร้างพลเรือนบนแนวหินโสโครกหมู่เกาะหนานซา เช่น อุปกรณ์อุตุนิยมวิทยาและอุปกรณ์ตรวจวัดสิ่งแวดล้อม เป็นต้น จะเป็นผลดีต่อการให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน

หนังสือพิมพ์เหลียนเหอเจ่าเป้า ของสิงคโปร์อ้างคำพูดของนักวิเคราะห์รายงานว่า ท่าอากาศยานใหม่จะใช้ในทางพลเรือน รายงานนี้ยังอ้างคำพูดของนายจู เฟิง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยหนานจิงระบุว่า ความหมายสำคัญที่จีนสร้างท่าอากาศยานในบริเวณหมู่เกาะหนานซาคือ มีความสะดวกในการพัฒนาทรัพยากร ดำเนินการกู้ภัยให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล เป็นต้น