การกล่าวหาว่าจีน "ซบเซา" ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไร พร้อมกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีน เคยเกิดการกล่าวหาว่า "จีนล้มเหลว" และ "จีนคุกคาม" ตามกันตามมา สะท้อนให้เห็นถึงคนบางกลุ่มที่ปรับตัวไม่ทันกับการเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วของจีน การคาดการณ์ที่คว้าน้ำเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เป็นอันว่า การกล่าวหาว่าจีนอยู่ในช่วงขาลงก็จะคว้าน้ำเหลวเช่นกัน
ช่วงกว่า 30 ปีตั้งแต่ดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศ จีนได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ในการเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวด้วยอัตราสูงนานที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มวลรวมเศรษฐกิจจีนในช่วงเริ่มต้นการปฏิรูปและเปิดประเทศ อยู่อันดับที่ 11 ของโลก จากนั้นแซงหน้าฝรั่งเศสขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 5 ในปี 2005 แซงหน้าอังกฤษขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 4 ในปี 2006 แซงหน้าเยอรมนีขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 3 ในปี 2007 และแซงหน้าญี่ปุ่นขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 2 ในปี 2009 ขณะที่มวลรวมอุตสาหกรรมการผลิตจีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 1 ของโลกในปี 2010 จีนใช้เวลาไม่กี่สิบปีก็ผ่านวิวัฒนาการที่ประเทศพัฒนาแล้วต้องใช้เวลาหลายร้อยปี จึงกล่าวได้ว่าเป็น "สิ่งมหัศจรรย์" ในวิวัฒนาการของโลก ซึ่งไม่ได้เกินความจริง
เมื่อเห็นกับตาว่า "ยักษ์ใหญ่" จีนกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว คนบางกลุ่มจึงรู้สึกปรับตัวไม่ทันและไม่สบายใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ คำกล่าวที่ว่า "การคุกคาม" และ "การล้มเหลว" เหมือนเป็นสองหน้าของเหรียญกษาปณ์เหรียญหนึ่ง คือ เนื่องด้วยวิตกกังวลว่าเป็น "การคุกคาม" จึงหวังอยู่เนืองๆ ให้มัน "ล้มเหลว" ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ถึงจะสูงส่งลึกซึ้ง ก็จะแพ้สภาพความเป็นจริงที่ยอดเยี่ยมและมีพลัง กลุ่มที่กล่าวหาว่า "จีนซบเซา" นั้น หากไม่ได้แฝงเจตนาบางอย่าง ก็ไม่ได้เดินทางมาจีนนานแล้ว หากคนกลุ่มนี้เดินทางมาจีนในช่วงนี้ ก็จะเห็นป้ายโฆษณาผู้ประกอบการต่างชาติเต็มอาคารผู้โดยสารในท่าอากาศยาน ซึ่งโฆษณาศูนย์ช็อปปิ้งและโรงแรม 5 ดาวของประเทศนั้น เพราะนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปยังต่างประเทศขยายตัวในตัวเลข 2 หลักต่อเนื่องกันเป็นเวลา 12 ปีแล้ว หากเดินทางไปชมสำนักงานจดทะเบียนที่กรุงปักกิ่ง ก็จะเห็นบรรยากาศคึกคักดั่งช่วงมีกิจกรรมลดราคาสินค้าของยุโรปและสหรัฐอเมริกา เวลานี้แต่ละวันจีนมีผู้ประกอบการกว่า 10,000 รายจดทะเบียน เฉลี่ยแล้วทุกนาทีจะมีผู้ประกอบการ 7 รายถือกำเนิดขึ้น ช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มอาหลี่ปาปา (Alibaba Group) ต่อยอดธุรกิจอี-คอมเมิร์สไปยังต่างประเทศ ทั้งเปิดบริการเว็บไซต์ซื้อของ "เถาป่า (Taobao.com) สู่พื้นที่ชนบท" ซึ่งกระตุ้นกำลังซื้อที่ "หลับสนิท" จำนวนมหาศาลในพื้นที่ชนบท ส่วนบรรดาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำแยงซีและดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำจูเจียง ก็กำลังเฮรับยุคแห่ง "การผลิตด้วยระบบอัจฉริยะ" หากเดินทางไปที่อู่เต้าโข่ว กรุงปักกิ่ง ก็จะพบคนหนุ่มสาวมากมายที่ยืนอยู่ข้างถนนขอสแกนโค้ตเพื่อติดตามทางวีแชต หรือเข้าพบผู้ลงทุนที่ร้านคาเฟ่...สิ่งที่อยู่เบื้องหลังภาพดังกล่าวก็คือ โอกาสในการก่อร่างสร้างตนและพลังชีวิตของเศรษฐกิจจีน
กล้าที่จะพูดได้ว่า เศรษฐกิจจีนที่กำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนมีอุปสรรคของตัวเอง จีนกำลังแก้ไขอุปสรรคเหล่านี้ด้วยวิธีของตัวเอง อัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมที่ปรับลดลงจะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องจริง และจะต้องดำเนินยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนด้วยความสร้างสรรค์และยกระดับคุณภาพเศรษฐกิจให้สูงขึ้น ส่วนอัตราการขยายตัวของกิจการที่ใช้พลังงานมากก็ปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัดที่สุด รัฐกำลังจัดระเบียบผู้ประกอบที่ค้างชำระหนี้และไม่มีหวังจะคืนชีพอีกดั่ง "ศพแช่แข็ง" ซึ่งอาจจะสร้างความปวดร้าวมากขึ้น แต่หากไม่กระทำเช่นนี้ ก็จะเลิกกิจการที่ล้าหลังและหันมาพัฒนาแบบสีเขียวได้อย่างไร พวกที่กล่าวหาจีน "ซบเซา" มาโดยตลอดนั้น ในอดีตเคยติเตียนจีนเติบโตด้วยวิธีพึ่งการลงทุนและการส่งออก เวลานี้จีนมุ่งหันมาปรับวิธีและปรับโครงสร้าง พวกเขาก็หยิบเรื่องเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงมาพูด และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะ "ฮาร์ด แลนดิ้ง" สรุปแล้ว ไม่ว่าจีนทำอย่างไร พวกเขาก็มักจะหาสาเหตุต่างๆ มากล่าวร้าย เพียงแต่ว่าสาเหตุดังกล่าวพวกเขาเองก็ยังไม่เชื่อ
ถ้อยแถลงที่กล่าวหาว่า "ซบเซา" ครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับชาวจีนแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ผู้คนพันกว่าล้านคนที่ต้องการสานฝันปรับปรุงและสร้างสรรค์ตัวเองให้ดีขึ้น รวมถึงยินดีหาเงินด้วยความขยันขันแข็งและการผจญภัย ถือเป็นพลังที่เรียบง่ายและลึกซึ้ง ซึ่งไม่มีทางจะทำให้บ้านเมืองล่มจมเป็นอันขาด
(YIM/LING)