เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การประชุมผู้นำสหรัฐฯ-อาเซียนที่จัดขึ้นเป็นเวลา 2วันสิ้นสุดลง การจัดการประชุมผู้นำระหว่างสองฝ่ายต่อเนื่องกันในช่วงเวลาไม่ถึง 3 เดือนนั้นเป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง การประชุมครั้งนี้ทำให้สหรัฐฯ บรรลุเป้าหมายที่คาดไว้หรือไม่ และสื่อมวลชนสหรัฐฯ มองการประชุมครั้งนี้อย่างไรกันบ้าง
ก่อนจัดการประชุมครั้งนี้ นางคอนโดลีซซา ไรซ์ ผู้ช่วยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้านกิจการความมั่นคงแห่งชาติมให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นศูนย์กลางการเมืองและเศรษฐกิจโลก และเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือของสหรัฐฯ โดยธรรมชาติ ทำเนียบขาวจึงหวังว่า การประชุมครั้งนี้จะทำให้สหรัฐฯ สามารถแสดงบทบาทการเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาหลายสิบปีข้างหน้า นักวิเคราะห์เห็นว่า นี่เป็นแผนยุทธศาสตร์ในระยะยาวของสหรัฐฯ ในการผลักดันยุทธศาสตร์การปรับความสมดุลใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคของสหรัฐฯ
ก่อนสิ้นสุดการประชุม ผู้นำสหรัฐฯ และอาเซียนได้ประกาศแถลงการณ์ร่วมโดยเน้นถึงหลักการสำคัญในการกระชับความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียน ซึ่งรวมถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางภูมิภาค และความร่วมมือข้ามชาติ ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแถลงว่าจะดำเนินโครงการใหม่ภายใต้หัวข้อสหรัฐฯ-อาเซียนเชื่อมกัน เพื่อกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศ และส่งเสริมนวัตกรรม เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและปัญหาทะเลจีนใต้ แถลงการณ์ระบุว่า จะเคารพหลักการที่ให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางในการก่อโครงสร้างพหุภาคีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค
สังเกตได้ว่า หลักการที่แถลงการณ์ร่วมระบุนั้น ตั้งแต่การสร้างโครงสร้างภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจนถึงปัญหาทะเลจีนใต้นั้นล้วนเกี่ยวข้องกับจีนอย่างใกล้ชิด VOA รายงานเมื่อ 2 วันก่อนว่า มีผู้ประท้วงหลายพันคนชุมนุมกันข้างนอกสถานที่จัดการประชุม และถือป้ายเป็นข้อความว่า ให้อาเซียนและจีนแก้ปัญหาทะเลจีนใต้เอง ซึ่งผู้ประท้วงกล่าวว่า จีนกับอาเซียนได้ลงนามข้อตกลงที่เกี่ยวข้องแล้ว การกระทำของสหรัฐฯ จะทำให้ภูมิภาคทะเลจีนใต้มีความตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น ชาวสหรัฐฯ ทั่วไปก็เห็นว่า การหารือปัญหาทะเลจีนใต้แต่ไม่ได้เชิญจีนไปร่วมประชุมเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง
(Yim/cici)
