เมื่อเดือนมกราคมปี 2013 ฟิลิปปินส์ได้นำข้อพิพาททะเลหนานไห่ระหว่างจีน-ฟิลิปปินส์ไปยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการที่กรุงเฮก โดยศาลจะประกาศคำพิพากษาในเร็วๆ นี้ แต่ไม่ว่าผลการพิจารณาคดีจะเป็นอย่างไร จีนล้วนจะไม่ยอมรับ ไม่ปฏิบัติตาม และจะไม่เห็นด้วยต่อประเทศหนึ่งประเทศใดที่ใช้คำตัดสินจากศาลมาเจรจาปัญหาทะเลหนานไห่กับจีน เพราะจีนมีเหตุผล 4 ประการดังต่อไปนี้

1. การที่ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องคดีหนานไห่โดยลำพังฝ่ายเดียวฝ่าฝืนความเข้าใจร่วมกันของสองฝ่ายที่กำหนดไว้ในการแก้ไขข้อพิพาทด้วยการหารือและการเจรจา และฝ่าฝืนหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศที่ว่า "หากตกลงกันแล้วต้องปฏิบัติตาม"

2. การที่ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องคดีหนานไห่โดยลำพังฝ่ายเดียวฝ่าฝืนข้อข้อกำหนดในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฏหมายทะเล (UNCLOS) และละเมิดสิทธิในเลือกกลไกแก้ไขข้อพิพาทด้วยตนเอง

3. การที่ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องคดีหนานไห่โดยลำพังฝ่ายเดียวฝ่าฝืนข้อกำหนดทั่วไปในการฟ้องร้อง เพราะ ตามกฎหมายสากล การฟ้องร้องต้องมีขึ้นตามหลักการด้วยความสมัครใจ และร่วมยื่นฟ้องโดยประเทศคู่กรณี ก่อนหน้านี้ จีน-ฟิลิปปินส์ได้บรรลุความเข้าใจเกี่ยวกับการแก้ไขข้อพิพาทด้วยการหารือและการเจรจา ในช่วงระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา สองประเทศได้รักษาการติดต่ออย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการแก้ไขข้อพิพาทในทะเลหนานไห่และการควบคุมสถานการณ์ทางทะเล อีกทั้งยังได้สร้างกลไกการทำงานต่างๆ เช่น หน่วยผู้เชี่ยวชาญสร้างมาตรการไว้เนื้อเชื่อใจ เมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์ยังได้ออกแถลงการณ์ร่วมกับจีน โดยยืนยันที่จะแก้ไขข้อพิพาทด้วยการเจรจาและการหารือ แต่เพียง 1 ปีให้หลัง ฟิลิปปินส์ก็ได้นำข้อพิพาททะเลหนานไห่ระหว่างจีน-ฟิลิปปินส์ไปยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการที่กรุงเฮกโดยไม่ได้แจ้งให้จีนทราบล่วงหน้า และไม่ได้รับความเห็นชอบจากจีน ทั้งนี้เป็นการกระทำที่ผิดคำมั่นสัญญา

4. การที่ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องคดีหนานไห่โดยลำพังฝ่ายเดียวนับเป็นการต่อเนื่องและพัฒนาพฤติกรรมขยายดินแดน ซึ่งได้ล่วงละเมิดอธิปไตยของจีน อธิปไตยและสิทธิประโยชน์ในทะเลหนานไห่ของจีนเป็นผลที่เกิดจากประวัติศาสตร์ในระยะยาวนาน เป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบรุษ ซึ่งผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ตัดสิน