บทความดังกล่าวมีหัวข้อว่า"เพลงไตเติ้ลก่อนสงครามเอเชีย-แปซิฟิก"โดยระบุว่า สหรัฐฯ ปฏิเสธร่วมเป็นสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายมหาสมุทรแห่งสหประชาชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน แถมพยายามส่งเสริมนโยบายการเดินเรืออย่างอิสระโดยลำพังฝ่ายเดียว สร้างข้ออ้างให้เรือรบของสหรัฐฯ โอ้อวดแสนยานุภาพตามอำเภอใจที่หน้าประตูประเทศอื่น ทั้งนี้ไม่ต่างกับการดำเนินนโยบาย"ปืนใหญ่บวกเรือรบ"เลย ซึ่งอาจก่อให้เกิดการปะทะโดยตรงกระทั่งสงครามระหว่างประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์
บทความยังระบุว่า สื่อมวลชนตะวันตกถือการปกป้องอธิปไตยอันชอบธรรมต่อหมู่เกาะหนานซาและหมู่เกาะซีซาของจีนเป็นการขยายกำลังรบ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงในประวัติศาสตร์แม้แต่น้อย ความจริงคือ ตลอดเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา อธิปไตยของจีนต่อหมู่เกาะเหล่านี้ไม่เคยถูกสงสัย โดยเฉพาะก่อนทศวรรษ 1960 อธิปไตยของจีนดังกล่าวเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาคมโลก นอกจากนี้ การก่อสร้างของจีนบนเกาะในทะเลหนานไห่เป็นผลดีต่อการเดินเรือในน่านน้ำบริเวณนี้ด้วย
บทความระบุว่า จีนใช้ความพยายามเพื่อรักษาสันติภาพและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาคทะเลหนานไห่มาโดยตลอด อีกทั้งส่งเสริมให้แก้ปัญหาด้วยการเจรจาและการปรึกษาหารือกัน ปี 2012 ผู้นำจีนกับผู้นำประเทศอาเซียนร่วมกันออกแถลงการณ์ในโอกาสรำลึกการครบรอบ 10 ปี "ปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลหนานไห่" โดยเรียกร้องให้แก้ไขข้อพิพาทด้วยการเจรจาและการปรึกษาหารือกันอย่างสันติ อย่าใช้หรือขู่ว่าจะใช้กำลังอาวุธแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นแนวทางหลักของการแก้ปัญหาทะเลหนานไห่ แต่ขณะนี้ ฟิลิปปินส์ยื่นปัญหาทะเลหนานไห่ให้ศาลระหว่างประเทศพิจารณาตัดสินโดยลำพังฝ่ายเดียว ถือเป็นการฝ่าฝืนแนวทางดังกล่าวตามใจชอบ แถมได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ด้วย ยิ่งผลักดันให้การกระทำของฟิลิปปินส์ก้าวไปไกลโดยยากที่จะหยุดยั้ง