จนถึงเวลา 08.00 น. ของวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ตก ดัชนีดอลลาร์สหรัฐขึ้น 1% ทะลุ 102 สร้างสถิติสูงสุดในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา กำไรหนี้สินระยะสั้นที่คำณวนด้วยดอลลาร์สหรัฐพุ่งสูงขึ้น ราคาทองคำตกถึง 1,140 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาน้ำมันปิโตรเลียมตกลงกว่า 3%
วันเดียวกัน อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเหยินหมินปี้กับดอลลาร์สหรัฐปรับลด 261 จุด อยู่ที่ 6.9286 สร้างสถิติต่ำสุดในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ส่งผลต่อตลาดการเงินของจีนไม่มาก การที่ก่อนหน้านี้เฟดเคยประกาศหลายครั้งว่าจะขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ตลาดเตรียมพร้อมแล้วที่จะรับมือกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริงในครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2017 ของเฟด
นายเซียว ลี่เซิ่ง รองผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยการเงินโลก สถาบันเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ สภาสังคมศาสตร์จีนเห็นว่า รัฐบาลจีนควรเฝ้าติดตามการไหลออกของเงินทุน ขณะนี้ อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรจีนและสหรัฐฯ ใกล้เคียงกันมาก หากสหรัฐฯ ปรับขึ้ันอัตราดอกเบี้ยอีกในเร็วๆ นี้ จนทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ สูงกว่าจีน เงินทุนก็จะไหลออกนอกประเทศมากขึ้น
นายหมิง หมิง ผู้จัดการฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์จงซิ่นเห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ บวกกับอีก 3 ครั้งในปีหน้า หมายถึงอัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน นโยบายการเงินจีนต้องเผชิญกับการท้าทายที่มากขึ้น ธนาคารกลางของจีนอาจออกนโยบายอัตราดอกเบี้ยลอยตัว หรือจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่รัดกุม กระทั่งถูกบีบให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นายเจียง เชา นักวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ไห่ทงเห็นว่า หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงครึ่งหลังปี 2017 ค่าเงินหยวนอาจต้องตกลงอีก แต่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต้องขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้น จีนต้องทุ่มกำลังในการปฏิรูปเศรษฐกิจ เพิ่มประสิทธิภาพของการเติบโต
นายเซียว ลี่เซิ่งเห็นว่า ในเมื่อเฟดจะหาจุดสมดุลระหว่างเงินเฟ้อกับการเติบโต จึงย่อมจะชะลอฝีก้าวของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีความแตกต่างกันมาก การที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียงฝ่ายเดียว จะก่อความวุ่นวายให้ตลาดทั่วโลก ปัญหาหนี้สินของยุโรปและญี่ปุ่นจะหนักขึ้น