视频/泰国/中国市场
|
กรุงเทพฯ - สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ร่วมกันจัดเสวนาโต๊ะกลม "ธุรกิจเอสเอ็มอีไทย ศักยภาพและโอกาสเจาะตลาดแดนมังกร" ขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ณ ห้องแก้ววิเชียร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
ภายในงานมีนักวิชาการ นักธุรกิจ มาร่วมวิเคราะห์ข้อมูล ศักยภาพและความน่าสนใจของตลาดจีนให้กับสื่อมวลชนและนักธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยได้รับทราบถึงโอกาสปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขปัญหาในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน เริ่มด้วยการกล่าวปาฐกถาพิเศษจาก นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หลังจากนั้นเป็นการเสวนาโต๊ะกลมโดย ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้ช่วยรองอธิการบดีสายงานวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นายสุจินต์ พิทักษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมฯ กลุ่มเซรามิก นายชาตรี เวทสรณสุธี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงทุน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย อาจารย์ธารากร วุฒิสถิรกุล เลขาธิการสมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้านเศรษฐกิจและการค้าอาเซียน โดยมีนายภูวนารถ ณ สงขลา อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กล่าวย้ำถึงความสำคัญของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีว่า การติดปีกธุรกิจเอสเอ็มอีไปต่างแดนเป็นสิ่งจำเป็น เพราะธุรกิจเอสเอ็มอีคือหน่วยที่มีการจ้างงานเป็นหลักของชาติ ธุรกิจเอสเอ็มอีเองก็จำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญกับภาษาที่สองและภาษาที่สาม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยพร้อมจะสนับสนุนทั้งในด้านเงินทุนและความรู้
ด้าน ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้ช่วยรองอธิการบดีสายงานวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้เปิดเผยถึงภาพรวมของเศรษฐกิจจีนที่มีการเติบโตสูงมาก โดยถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงบ้างแต่ในภาพรวมก็ยังคงเติบโตมากอยู่ดี ทั้งนี้ตลาดจีนจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการทั่วโลกต่างก็ประสงค์จะส่งสินค้าเข้าจีนมากที่สุด สำหรับไทยการที่จะไปแข่งขันการค้ากับจีนนั้นค่อนข้างยาก เราควรเปลี่ยนจากการแข่งขันเป็นการจับมือกับประเทศจีนเพราะตอนนี้ยุทธศาสตร์สองชาติสอดคล้องกัน ทางจีนเองจะขยับบางพื้นที่เป็น 4.0 เช่นเดียวกับประเทศไทย โดยจีนในอีก10 ปีข้างหน้าจะต่างออกไปมากจากปัจจุบัน คนไทยจึงควรจะรีบเข้าไปหาโอกาสเพื่อไปยังประเทศจีน โดย ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในการจะมีศักยภาพในการเจาะตลาดจีนนั้น ต้องมีความเข้าใจตลาดที่ต้องการจะเข้าไปเจาะ ต้องมีคู่ค้าชาวจีน ต้องมียุทธศาสตร์การเจาะตลาด ต้องมีเงินสำรอง/แหล่งทุน ต้องมีแนวทางในการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน และต้องมีสินค้าที่โดนใจ
นายชาตรี เวทสรณสุธี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงทุน2 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า สินค้าOTOPของไทยเป็นสินค้าที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีน และคนจีนนั้นรวยขึ้นทุกปี ตรงนี้คือโอกาสสำคัญของภาคธุรกิจไทย ทั้งนี้ถ้าอยากจะส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอีให้มีความเข้มแข็งเราต้องมุ่งพัฒนาการผลิต มุ่งออนไลน์ มุ่งปรับตัวให้ทันสถานการณ์ มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านความรู้และทางด้านการเงิน
นายสุจินต์ พิทักษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกลุ่มเซรามิกเปิดเผยว่าธุรกิจเซรามิกของไทยมีโอกาสเจาะตลาดจีนได้อีกมากโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เบญจรงค์ซึ่งมีที่มาจากจีนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ที่ส่งไปที่จีนเพื่อเขียนลวดลาย
ด้านอาจารย์ธารากร วุฒิสถิรกุล เลขาธิการสมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้านเศรษฐกิจและการค้าอาเซียนกล่าวเสริมว่า จากยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมของจีน ประเทศไทยมีความได้เปรียบอย่างมากด้านภูมิศาสตร์ ขอเพียงแค่ต้องมีการตื่นตัว เพิ่มนวัตกรรมของสินค้า ปรับเปลี่ยนวิธีการค้า โดยมุ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถนัดเช่น สินค้าอาหารทะเล สินค้าสุขภาพ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าฮาลาล สินค้าเครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูปของขบเคี้ยว ธุรกิจร้านอาหาร ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ส่วนข้อควรคำนึงเวลาส่งออก คือ ควรคำนึงเรื่องระยะเวลาการขนส่ง รุกตลาดสินค้าที่มีการแปรรูปมาแล้วขั้นหนึ่ง เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า ด้านตัวสินค้าเองควรได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน หาช่องทางจัดจำหน่ายผ่านผู้นำเข้า หาพันธมิตรในระบบ รวมถึงคำนึงการสร้างภาพลักษณ์ การหาผู้ร่วมทุนและการใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือฯ
การส่งออกสินค้าไทยไปจีนนับวันจะเพิ่มขึ้นๆ ด้วยชาวจีนให้การยอมรับสินค้าไทยที่มีคุณภาพ และวันนี้สินค้าไทยที่ตลาดจีนสนใจ มี 7 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสุขภาพและเกษตรอินทรีย์, อาหารทะเล อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง, อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแปรรูปจากผลไม้, ผลิตภัณฑ์ฮาลาล, เครื่องปรุงรส, อาหารสำเร็จรูปประเภทขบเคี้ยวและธุรกิจร้านอาหาร
เรียบเรียงและรายงาน: อรอนงค์ อรุณเอก 林敏儿
ภาพ: พันธสัญญา โชติธนพุทธิพงษ์