นับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำจีนกับสหรัฐฯฯพบหารือกันหลังรัฐบาลชุดใหม่สหรัฐฯ บริหารประเทศ ด้วยเหตุนี้ การเจรจาครั้งนี้จะมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในอนาคต ส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาก้าวหน้าด้วยดีและมั่นคงจากจุดเริ่มต้นใหม่ ส่งเสริมสันติภาพและการเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและทั่วโลกด้วย
นายเคนท์ แคลเดอร์(Kent Calder) ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาวิจัยเอเชียตะวันออกมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองของโลก การพบปะเจรจาครั้งนี้เป็นที่สนใจของทั่วโลก
นานมาแล้ว ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นทั้งแรงฉุดและแรงดันที่ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ในช่วง 38 ปีนับตั้งแต่สองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าทวิภาคีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องระบุว่า ปี 2016 ยอดการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศสูงถึง519,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 200 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1979 จีนกลายเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับหนึ่งของสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับที่ 3 ของสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ก็กลายเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับที่ 2 และตลาดส่งออกใหญ่อันดับที่ 1 ของจีน
ศาสตรจารย์ดไวท์ เปอร์กินส์(Dwight Perkins)จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสหรัฐฯ ระบุว่า ความต้องการที่แท้จริงในปัจจุบันได้กำหนดแนวโน้มทั่วไปในการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งสอดรับกับผลประโยชน์พื้นฐานของประเทศทั้งสอง เขาเห็นว่า การดำเนินความร่วมมือเป็นหนทางเดียวระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ไม่ใช่การเป็นปรปักษ์กัน
เขาระบุว่า การดำเนินสงครามทางการค้าเป็นทางเลือกที่ไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย เพราะว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งเป้าสำคัญเพื่อเพิ่มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มตำแหน่งงานให้มากขึ้น เป็นต้น ดังนั้น การดำเนินสงครามทางการค้าจึงตรงข้ามกับเป้าหมายในการพัฒนาของสหรัฐฯและเป็นทางเลือกที่แย่มาก
In/LJ
