สิงคโปร์นับเป็นประเทศสำคัญตามเส้นทางสายไหมทางทะเลตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา การจัดฟอรั่มความร่วมมือระหว่างประเทศ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ที่กรุงปักกิ่งครั้งนี้ได้รับความสนใจจากแวดวงต่างๆโดยเฉพาะนักวิชาการของสิงคโปร์อย่างมาก
นักวิชาการสิงคโปร์ที่ได้ฟังสุนทรพจน์ของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนในฟอรั่มครั้งนี้ อย่าง รองศาสตราจารย์หวัง เจียงหยู่ว์ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) เห็นว่า การจัดฟอรั่มความร่วมมือระหว่างประเทศครั้งนี้ ได้แสดงได้เห็นถึงศักยภาพและความตั้งใจของจีนในการผลักดันการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เขากล่าวว่า จีนได้เพิ่มการลงทุนมากขึ้น ไม่เพียงแต่มีโครงการใหญ่เท่านั้น หากยังมีโครงการขนาดเล็กที่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งนี้แสดงว่า รัฐบาลจีนตั้งใจจะปฏิบัติตามยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางอย่างเสมอต้นเสมอปลาย "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ไม่เพียงแต่เป็นคำขวัญและความปรารถนาเท่านั้น หากเป็นปฏิบัติการที่เป็นจริง
เขายังกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" เป็นเวทีที่เปิดกว้าง ซึ่งจีนเป็นแกนนำ แต่ไม่ได้บังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องร่วมด้วย จีนจะเป็นผู้ชี้นำและผู้ออกเงินทุนจำนวนมาก แต่จีนแสดงท่าทีที่ยินดีจะร่วมมือกับประเทศอื่นๆในการกำหนดกฎข้อบังคับร่วมกัน จีนไม่อาจจะตั้งกฎข้อบังคับโดยลำพังฝ่ายเดียวแล้วบังคับให้ฝ่ายอื่นปฏิบัติตาม
นายหู อี้ซาน นักวิจัยสถาบันวิจัยราชารัตนัม (RSIS) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง (NTU) เห็นว่า ข้อความเกี่ยวกับการเปิดกว้างในสุนทรพจน์ของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดี มีความหมายสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งลัทธิกีดกันทางการค้าเริ่มคืนชีพ การผลักดันกระบวนการเจรจาเกี่ยวกับ RCEP และการสร้างเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิกต่อไปนั้น เป็นทิศทางการใช้ความพยายามของฝ่ายต่างๆในอนาคต