เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถาบันวิจัยกลุ่มบริษัทอาลีบาบาประกาศ "รายงานข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับเส้นทางสายไหมทางเตอร์เน็ต " ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จีนใช้รูปแบบข้อมูลขนาดใหญ่ "Big Data" ในการบรรยายสภาพรวมของเส้นทางสายไหมทางอินเตอร์เน็ต หลังจากทางการจีนมีข้อริเริ่มสร้าง " 1 แถบ 1 เส้นทาง" เป็นต้นมา
รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ประเทศอาเซียน เอเชียตะวันตกและยุโรปตะวันออกมีความสัมพันธ์กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติของจีนใกล้ชิดที่สุด 10 อันดับประเทศรายทาง " 1 แถบ 1 เส้นทาง" ตามดัชนีการเชื่อมต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติของจีนคือ ไทย รัสเซีย อิสราเอล ยูเครน โปแลนด์ เช็ก มอลโดวา ตุรกี เบรารุสและสิงคโปร์
นายกาว หงปิง รองผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัทอาลีบาบา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยอาลีบาบากล่าวในการแถลงข่าวว่า เส้นทางสายไหมทางอินเตอร์เน็ตจะนำหน้าการสร้าง " 1 แถบ 1 เส้นทาง" ความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ สามารถที่จะทำให้การค้าระหว่างประเทศรายทาง " 1 แถบ 1 เส้นทาง" มีความสะดวกและคล่องมากยิ่งขึ้น สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนท้องถิ่นมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น "อาลีส่งด่วน" หรืออลีเอ็กซ์เพรส (AliExpress) เป็นเวทีการค้าออนไลน์ทั่วโลกของอาลีบาบา เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายนปี 2010 ได้รับการขนานนามว่า "เถาเป่าฉบับนานาชาติ" ปี 2012 มีผู้ใช้บริการ 1 ล้านคน ปี 2013 เพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านคน ใช้เวลาเพียง 17 เดือน และปี 2015 เพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านจนถึงเดือนเมษายนปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านคน ใช้เวลาเพียง 18 เดือน เท่านั้น สาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็คือ ยุทธศาสตร์ " 1 แถบ 1 เส้นทาง" ได้รับการยอมรับจากประเทศรายทางในทุกด้าน ทำให้นักธุรกิจอีคอมเมิร์ซเข้าสู่ทางด่วนเส้นทางสายไหมทางอินเตอร์เน็ต
ปัจจุบัน นักธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติของจีนเป็นผู้นำสำคัญในการสร้าง " 1 แถบ 1 เส้นทาง" พร้อมๆ กับสินค้าจีนก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นจากประชาชนประเทศรายทาง " 1 แถบ 1 เส้นทาง" นักธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติจีนพากันสร้างสะพานอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อจีนกับประเทศเหล่านี้ ทำให้การค้าระหว่างจีนกับประเทศเหล่านี้รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น
จากข้อมูลขนาดใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซข้ามชาติของอาลีบาบา สถาบันวิจัยอาลีบาบาได้กำหนดดัชนี ECI (E – Commerce Connetivitiy Index) ถ้าดัชนีการส่งออกสูง หมายถึงประเทศนี้ซื้อสินค้าจีนมาก ถ้าดัชนีการนำเข้าสูง หมายถึงผู้บริโภคจีนจัดซื้อสินค้าของประเทศนี้มีมาก
ปัจจุบัน เวทีการค้ารอบโลก "อาลีส่งด่วน" หรืออลีเอ็กซ์เพรส (AliExpress) ครอบคลุมประเทศรายทาง" 1 แถบ 1 เส้นทาง" ทั้งหมด ซึ่งผู้ใช้บริการจากประเทศรายทางครองสัดส่วน 45% ของผู้ใช้บริการทั่วโลก โดยประเทศที่ซื้อสินค้าจีนมากที่สุด 5 อันดับคือ รัสเซีย ยูเครน อิสราเอล เบรารุสและโปแลนด์จั มื้อถือและชิ้นส่วน สินค้าเฟชั่นอัญมณีเสื้อผ้า เครื่องประดับของจีนขายดีในประเทศเหล่นี้ โดย เฉพาะปีหลังๆ นี้ สมาร์ทโฟนจีนก็ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภคต่างชาติ
ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศรายทาง "1 แถบ 1 เส้นทาง" ที่จัดอยู่อันดับ 1 ของดัชนีการนำเข้าสูง มียอดการจำหน่ายสินค้ามากที่สุดในจีน ปี 2016 มีสินค้าไทย 124 ยี่ห้อจำหน่ายโดยผ่านเวทีการค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ "เทียนเมา" (TMALL) ของอาลีบาบา ยอดการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 152% เมื่อเทียบกับปี 2015 ในนี้ หมอนยางพาราและที่นอนยางพาราขายดี ขายได้ทั้งหมด 280,000 ชิ้น ใน TMALL ระหว่างประเทศ ชาวสวนยางของไทยคงคิดไม่ถึงว่า ปัจจุบันมีใบสั่งจองสินค้าจากผู้บริโภคจีนมากขนาดนี้
นอกจากการค้าสินค้าแล้ว การไปมาหาสู่กันและการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างประเทศรายทาง "1 แถบ 1 เส้นทาง" ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ด้านการท่องเที่ยว ปี 2016 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จองรายการท่องเที่ยวประเทศไทยโดยผ่าน "ฟลิกกี้" (Fliggy) เวทีการท่องเที่ยวออนไลน์ของอาลีบาบานั้น เพิ่มขึ้น 63% เมื่อเทียบกับปี 2015 นอกจากนั้น แหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ได้มีชื่อเสียงระดับโลกของประเทศรายทาง "1 แถบ 1 เส้นทาง" ก็มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปชมมากขึ้น "ไฟลจี" (Fliggy) ได้จำหน่ายตั๋วเครื่องบินไปอิสราเอล อิหร่าน อาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจานซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถาบันวิจัยกลุ่มบริษัทอาลีบาบาประกาศ "รายงานข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับเส้นทางสายไหมทางเตอร์เน็ต " ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จีนใช้รูปแบบข้อมูลขนาดใหญ่ "Big Data" ในการบรรยายสภาพรวมของเส้นทางสายไหมทางอินเตอร์เน็ต หลังจากทางการจีนมีข้อริเริ่มสร้าง " 1 แถบ 1 เส้นทาง" เป็นต้นมา
ปีหลังๆ นี้ นักธุรกิจรุ่นใหม่จากบริษัทอินเตอร์เน็ตจีนมุ่งตะลุยทำธุรกิจกับทั่วโลก ใช้ความพยายามเพื่อมีส่วนร่วมในการสร้าง "e Road" ตามยุทธศาสตร์ "1 แถบ 1 เส้นทาง" บริษัทเหล่านี้มิเพียงแต่นำเงินทุน สินค้าและโครงสร้างพื้นฐานไปให้กับประเทศรายทางเท่านั้น หากยังได้นำเทคโนโลยีไปฝึกอบรมบุคลากรท้องถิ่น ซึ่งอาลีบาบาก็เป็นตัวอย่างที่ดี
นายกาว หงปิง รองผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัทอาลีบาบากล่าว่า กลุ่มอาลีบาบาได้ดำเนินโครงการหลายโครงการเพื่อการสร้าง "1 แถบ 1 เส้นทาง" โดยระบบออนไลน์หลายระบบของอาลีบาบาได้เข้าร่วม อาทิ ระบบ"อาลีส่งด่วน" (AliExpress) ได้ครอบคลุมประเทศรายทาง "1 แถบ 1 เส้นทาง" ทั้งหมด ผู้ใช้บริการของประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนเกินกว่า 45%
ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการส่งออกเทคโนโลยี ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะจีน "ไช่เหนี่ยว" (CSN) แปลตามภาษาจีนคือ "นกตัวน้อย" หรือ"มือใหม่" เป็นชื่อเล็กๆ แต่มีเป้าหมายใหญ่ คือ ใช้เวลา 5- 8 ปี ทำให้กลายเป็นระบบโลจิสติกส์ที่สามารถส่งด่วนถึงลูกค้าทั่วประเทศภายในเวลา 24 ชั่วโมง
ปัจจุบัน "ไช่เหนี่ยว" ได้ตั้งคลังสินค้า 17 แห่ง ในประเทศรายทาง "1 แถบ 1 เส้นทาง" เพื่อเร่งการหมุนเวียนของระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ
ด้านการเงิน กลุ่มบริษัทบริการการเงินแอ็นต์ (ANT FINANCIAL SERVICES GROUP) ก็เป็นบริษัทที่ตั้งชื่อตามสัตว์ตัวเล็กนิดเดียวแต่มีเป้าหมายใหญ่ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2004 มีวัตถุประสงค์ที่จะเสนอบริการการเงินที่สะดวกค่าใช้จ่ายไม่สูงแก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมและผู้บริโภคที่เป้นบุคคลธรรมดา ปีหลังๆนี้ได้ส่งออกเทคโนโลยีเพื่อช่วยประเทศรายทาง "1 แถบ 1 เส้นทาง" พัฒนาระบบการจ่ายเงินออนไลน์ฝ่ายที่สาม หรืออาลีเพย์ (Alipay) ฉบับท้องถิ่นในอินเดีย ไทย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย
บริษัทคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ของอาลีบาบาได้ตั้งศูนย์ขhอมูลใหญ่ในสิงคโปร์และนครดูใบ ใช้เทคโนโลยีที่จีนวิจัยและผลิตขึ้นมาเอง เสนอการบริการข้อมูลขนาดใหญ่ (Cloud Computing) ให้แก่ประเทศรายทาง "1 แถบ 1 เส้นทาง"
ขณะเดียวกัน อาลีบาบายังใช้ความพยายามในการสร้างระบบการค้าออนไลน์โลกหรือ eWTP และเริ่มทดลองแล้ว เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา กลุ่มอาลีบาบากับมาเลเซียประกาศสร้าง "เขตการค้าเสรีดิจิตอล" ซึ่งนับเป็นศูนย์ดิจิตอลของ eWTP แห่งแรกในต่างประเทศ โดยจจะช่วยให้เยาวชนและนักธุรกิจขนาดย่อมของมาเลเซียและประเทศรายทางเส้นทางสายไหมทางทะเลมีโอกาสเข้าร่วมการค้าทั่วโลก
(In/Lin)