การที่รถยนต์กลายเป็นพาหนะในการเดินทางของครอบครัวทั่วไป เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนว่าคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนสูงขึ้น ขณะที่ประชาชนทั่วไปมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความต้องการในการใช้รถยนต์ของชาวเมืองยังคงจะขยายตัวต่อไปในระยะยาว

เมื่อปี 2016 จำนวนรถยนต์ในจีนเพิ่มขึ้น 20 ล้านคัน หากคาดการณ์ตามแนวโน้มการเติบโตดังกล่าว ถึงปี 2020 จีนจะมีรถยนต์ 280 ล้านคัน ถึงปี 2021 อาจจะเพิ่มถึง 300 ล้านคัน เวลานั้น จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีรถยนต์มากที่สุดในโลก แต่ปัญหาที่ตามมาคือ หากบริหารไม่ดี จะขาดแคลนที่จอดมากยิ่งขึ้น

ต่อปัญหาการจอดรถ ประเทศต่างๆมีวิธีการรับมือของตน มีทั้งประสบการณ์ที่เป็นผลสำเร็จและประสบการณ์ที่ล้มเหลว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนนำไปศึกษาได้

ปัจจุบัน สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีรถยนต์มากที่สุดในโลก แต่เนื่องจากสหรัฐฯมีพื้นที่กว้างใหญ่ขณะที่จำนวนประชากรไม่มาก ในพื้นที่ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีปัญหาที่จอดรถ แต่ในเมืองใหญ่ๆจำนวนหนึ่ง พบปัญหาดังกล่าวเช่นกัน มาตรการรับมือของสหรัฐฯคือ ในย่านการค้าที่คึกคักและสนามบิน มีการก่อสร้างอาคารจอดรถหลายชั้นหรือที่จอดรถใต้ดินหลายชั้น อาทิ สนามบินชิคาโกมีอาคารจอดรถ 6 ชั้น ซึ่งสามารถจอดรถได้ 9,250 คัน นับเป็นอาคารจอดรถใหญ่ที่สุดในโลก

ในประเทศที่มีรถยนต์มาก เมืองใหญ่จำนวนหนึ่งพยายามบุกเบิกพื้นที่ข้างทางเพื่อเพิ่มที่จอดรถ อาทิ กรุงปารีสของฝรั่งเศส มีการจัดที่จอดรถระหว่างต้นไม้ 2 ต้นตามข้างทาง ในกรุงโซลของเกาหลีใต้ เขตชุนชนจำนวนหนึ่งจัดชั้นแรกของอาคารเป็นที่จอดรถ

เมืองใหญ่ๆในจีนก็ได้ใช้มาตรการต่างๆเพื่อแก้ปัญหาที่จอดรถ แต่เมื่อเทียบกับการขยายตัวของจำนวนรถยนต์ ความเร็วในการสร้างสถานที่จอดรถนับว่าช้าไป การจอดรถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ จอดที่บ้าน และจอดรถระหว่างการเดินทาง ปัญหาร้ายแรงที่สุดในปัจจุบันคือ การจอดรถที่บ้าน โดยเฉพาะเขตชุมชนเก่าจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้วางแผนที่จอดรถยนต์ตั้งแต่แรก เขตชุมชนเหล่านี้จะพบว่า รถยนต์จอดกันเกะกะจนขวางทาง กระทั่งทางหนีไฟ พอเกิดไฟไหม้ รถดับเพลิงก็เข้าไปสถานที่เกิดเหตุไม่ทัน นับเป็นความเสี่ยงที่สุด